The Deadly Duo : ยอร์ค-โคล คู่โหดมหาประลัยที่ทำให้ยุโรปลุกเป็นไฟ

Maruak Tanniyom

The Deadly Duo : ยอร์ค-โคล คู่โหดมหาประลัยที่ทำให้ยุโรปลุกเป็นไฟ image

“กองหน้าคู่” อาจจะไม่ค่อยเป็นที่พบเห็นในฟุตบอลยุคปัจจุบัน แต่ถ้าย้อนกลับไปในยุค ‘90 มันคือแผนระดับเมต้า ที่หลายทีมใช้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน 

และหนึ่งในคู่หูที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วพรีเมียร์ลีก ก็คือ ยอร์ค-โคล ดูโอนรกแตกแห่ง แมนเชสเตอร์ฯ ยูไนเต็ด ที่ช่วยให้ทีมครองความยิ่งใหญ่มาได้หลายปี  

ติดตามเรื่องราวของพวกเขาไปพร้อมกัน 

เกือบไม่ได้เป็นยอร์ค-โคล

อาจจะเรียกว่าความบังเอิญ หรือฟ้าลิขิต เพราะที่จริง ยอร์ค-โคล ไม่ได้เป็นคู่หูมาตั้งแต่แรก แถมกองหน้าชาวทรินิแดดและโตเบโก เกือบจะไม่ได้ย้ายมาแมนฯ ยูไนเต็ดด้วยซ้ำ

ย้อนกลับไปในปี 1998 อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ตอนนั้นยังไม่ได้ยศท่านเซอร์ กำลังมองหน้ากองหน้ามาเสริมทัพโดยด่วน หลังฤดูกาลที่แล้วต้องอกหักเสียแชมป์ให้กับ อาร์เซนอล 

ตัวเลือกแรกที่ เฟอร์กี้ มองไว้คือ พาทริค ไคลเวิร์ต หัวหอกของ เอซี มิลาน แต่ดีลมาล่มไป ทำให้ต้องเบนเข็มมาที่ ดไวท์ ยอร์ค ดาวยิงของ แอสตัน วิลลา ที่ยิงไป 46 ประตูใน 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ แม้ว่าจะได้ตัว ยอร์ค มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 12.6 ล้านปอนด์ แค่คู่หูในแดนหน้าของเขาก็ยังไม่ใช่ แอนดี โคล แต่เป็น เท็ดดี เชอริงแฮม หรือ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ มากกว่า 

“ตอนที่ผมย้ายมา แมนเชสเตอร์ ช่วงแรก ยังเป็น เอริค คันโตนา คู่กับ มาร์ค ฮิวส์ และหลังจากนั้น ก็เป็น ยอร์ค หรือ โคล คู่กับ เท็ดดี้ เชอริงแฮม และ โอเล (กุนนาร์ โซลชาร์)” แกรี เนวิลล์ กล่าวกับ MNF Retro 

แต่จุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้นในเกมนัดที่ 8 ที่พบกับ เซาแธมป์ตัน เมื่อ เฟอร์กี้ ตัดสินใจส่ง ยอร์ค และ โคล ลงคู่กันเป็นนัดที่ 2 ของฤดูกาล หลังจากเคยจับคู่กันแต่ทำประตูไม่ได้ในเกมเสมอกับ เวสต์แฮม 0-0 

ทว่าครั้งนี้มันต่างออกไป ทั้งคู่ดูจะสอดประสานได้อย่างลงตัว และเป็นจุดเริ่มต้นของประตูแรกในนาทีที่ 11 จากจังหวะที่ โคล ฉีกไปรับบอลทางกราบซ้าย แล้วเปิดเข้ามาตรงกลางให้ ยอร์ค ชาร์จผ่านมือ พอล โจนส์ นายด่านของ เซาแธมป์ตันเข้าไป 

ก่อนที่มันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของคู่โหดมหาประลัย เมื่อหลังจากนั้น ทั้งคู่ผลัดกันจ่ายบอลให้คู่หูทำประตูถึง 12 ลูก ในทุกรายการ แถมยังยิงรวมกันถึง 53 ลูก และ 34 ประตูเกิดขึ้นในลีก 

แต่คงไม่มีเกมไหนที่จะนิยามความเป็นคู่หูของพวกเขาได้เท่ากับเกมบุกไปเยือน คัมป์ นู ของ บาร์เซโลนา ในแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ที่นอกจากทั้งคู่จะช่วยกันยิงช่วยให้ปีศาจแดง บุกไปคว้า 1 คะแนนจากสกอร์ 3-3 แล้ว ประตูที่ 2 ของ ยูไนเต็ด ยังเกิดขึ้นจากการประสานงานที่ลงตัว

มันเริ่มจาก รอย คีน จ่ายบอลไปให้ ยอร์ค แต่ ยอร์ค ข้ามหลอก จนหลุดไปถึง โคล จากนั้น โคล ตัดสินใจทำชิ่ง 1-2 กับ ยอร์ค จนหลุดไปยิงโล่งๆ ในกรอบเขตโทษ เสียบเสาแรกเข้าไปอย่างสวยงาม 

ประตูดังกล่าวไม่เพียงมีส่วนทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บ 1 คะแนนสำคัญและได้ผ่านไปเล่นในรอบน็อคเอาท์เท่านั้น แต่มันยังแสดงให้เห็นความเป็นคู่หูของ ยอร์ค-โคลที่เล่นด้วยความเข้าใจ จนสามารถจ่ายบอลไปยังพื้นที่ว่างได้อย่างลงตัว 

“สำหรับผม ประตูนั้นเป็นประตูที่เกิดจากการเล่นเป็นทีมที่ดีที่สุดใน แชมเปียนส์ลีก” โคล ย้อนความหลังกับ manutd.com

พวกเขายังทำแบบนี้ได้อีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเกม UCL ที่ถล่ม บรอนด์บี 6-0 ที่ทำชิ่งในกรอบเขตโทษ ก่อนที่ ยอร์ค จะยิงเข้าไป หรือเกมพรีเมียร์ลีกกับ เลสเตอร์ ที่ ยอร์ค จ่ายบอลให้ โคล ยิงประตูที่ 3 ของเกม รวมไปถึงประตูที่ 5 ที่ โคล ยิงไปชนคาน แล้ว ยอร์ค ตามซ้ำเข้าไป 

มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับพวกเขาเล่นร่วมกันมาเป็น 10 ปี แต่ความเป็นจริง ยอร์ค และ โคล เพิ่งจะจับคู่กันเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1998/99

“ผมชอบเล่นกับเขา ผมชอบพลังที่เขาเอาเข้ามา ยอร์คกี้ ดึงบางอย่างออกมาจากตัวผม สิ่งที่ผมรู้อยู่แล้วว่ามันมีอยู่ในตัวผม” โคล กล่าวกับ manutd.com เมื่อปี 2020 
 
อะไรที่ทำให้พวกเขาเข้าเขากันขนาดนี้ 

มองตาก็รู้ใจ 

สิ่งที่ทำให้ ยอร์ค และ โคล สามารถจับคู่กันได้อย่างลงตัว คือความเหมือนกันในหลายด้าน ทั้งความเร็ว การคิดอย่างรวดเร็ว การสนับสนุนที่ฉลาด ความยืนหยุ่น และความสามารถเฉพาะตัว 

ถ้าความพยายามแรกคนหนึ่งถูกป้องกันจากกองหลังหรือผู้รักษาประตู อีกคนก็จะเพิ่มความกดดันเข้าเพื่อทำประตู พวกเขาสับเปลี่ยนหมุนเวียนเพื่อทำประตูให้ได้ 

โคล เคยอธิบายว่ามันคือความสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นแบบ “มองตาก็รู้ใจ” ที่ปรับเปลี่ยนไปตามการเล่นของอีกฝั่ง เช่น หาก ยอร์ค ขึ้นไปยืนหน้าเป้า โคล ก็จะถอยลงมารับบอล หรือในทางกลับกัน หาก โคล ไปยืนรอชาร์จ ยอร์ค ก็จะฉีกไปด้านข้างเพื่อครอสบอลเข้ามา 

มันคือความลื่นไหล และความยืดหยุ่นที่ทั้งคู่สามารถสลับบทบาทกันได้ทั้งเกม ถ้าคนหนึ่งไม่ทำ อีกคนก็จะทำแทน ไม่ได้ยึดติดว่าต้องเป็นแบบนั้นไปตลอด 

“ผมและยอร์คกี้ เป็นขั้วตรงข้ามกัน แต่เราเข้าใจกันและกัน ราวกับเกิดมาด้วยกัน เราไม่เคยเถียงกัน ไม่เคยกระทบกระทั่งกัน เราไม่เคยแตกคอกันแม้แต่ครั้งเดียว” โคล อธิบาย

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ พวกเขาสร้างสัมพันธ์เหล่านี้มาตั้งแต่แรกเจอ ในสนามสนิทอย่างไร นอกสนามก็เป็นอย่างนั้น โดยไม่แคร์ว่าอาจจะต้องเป็นคู่แข่งกัน 

“ผมพา ยอร์คกี้ ไปกินข้าว พาเขาไปหาบ้าน ทุกอย่างเลย คนที่ร้อนใจ (ว่าจะเสียตำแหน่งตัวจริง) คงไม่ทำแบบนี้หรอก ผมรักยอร์คกี้ เหมือนน้องชายของตัวเอง” โคล กล่าว 

และมันก็ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลดังกล่าว ก่อนจะประกาศศักดาคว้า ทริปเปิ้ลแชมป์ ได้แก่ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ 

“ฤดูกาลนั้น และฤดูกาลต่อมา เรายังทำประตูแบบนั้น (ประสานงานกัน) ได้อีกหลายครั้ง มันคือความเข้าใจกันในระดับปรากฎการณ์ ไม่ต้องมีการสื่อสาร เราไม่ได้โทรคุยกัน แค่รู้ว่าอีกคนกำลังจะวิ่งไปตรงไหน” อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษกล่าว

“สิ่งนั้นสำหรับผม ทำให้ทุกอย่างน่าพอใจยิ่งไปอีก เราเล่นฟุตบอลแบบนั้นได้โดยไม่ต้องสื่อสารกันเลย” 

ทั้งคู่ยังคงจับมือกันพา แมนฯ ยูไนเต็ด ป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาล 1999/200 และยิงรวมกันถึง 45 ประตูในทุกรายการ 

ทั้งนี้ การเป็นคู่หูระดับตำนานของ ยอร์ค และ โคล ต้องปิดฉากลงในปี 2001/02 เมื่อ โคล ย้ายไปอยู่กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในช่วงกลางฤดูกาลดังกล่าว ก่อนที่ ยอร์ค จะตามไปเล่นด้วยในเวลาต่อมา 

แม้หลังจากนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้ศูนย์หน้ามาใหม่ ไม่ว่าจะเป็น รุด ฟาน นิสเตลรอย, เวย์น รูนีย์ หรือ โรบิน ฟาน เพอร์ซี แต่หากเอ่ยถึงศูนย์หน้าในความทรงจำ ชื่อแรกที่หลายคนนึกถึงก็ยังเป็น ยอร์ค-โคล อย่างแน่นอน 

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

Contributing Writer