ในวัยเด็ก อรวรรณ ถูกมองว่าเธอไม่น่าจะเล่นกีฬาอะไรได้เลย เนื่องจากเป็นคนตัวเล็ก ขาเล็ก ผอมแห้ง และแรงน้อย
แต่ด้วยความไม่ยอมแพ้ของพ่อ ที่อยากเห็นลูกสาวได้เล่นกีฬากับเขาบ้าง จึงไปขอร้องผู้อำนวยการ จนทำให้ อรวรรณ ได้รู้จักกับ เทเบิลเทนนิส หรือปิงปอง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
ติดตามเรื่องราวของ อรวรรณ พาระนัง นักปิงปองหญิง มือ 1 ของไทยไปพร้อมกัน
ไม่มีเงินซื้อไม้ปิงปอง
อรวรรณ พาระนัง เป็นชาวอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เธอเกิดเติบโตในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน โดยมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการทำนา และเงินจากอาชีพภารโรงของพ่อ
ทำให้ตั้งแต่เด็ก อรวรรณ มีความคิดที่จะแบ่งเบาภาระของครอบครัว และเธอก็เห็นว่ากีฬาน่าจะพาไปจนถึงจุดนั้นได้ เพียงแต่ปัญหาเดียวก็คือเรื่องสรีระ ที่เธอเป็นคนตัวเล็ก และแทบจะเล่นกีฬาอะไรไม่ได้เลย
"หนูไม่สามารถที่จะไปเล่นกีฬาอะไรได้เลย เพราะว่า ตัวเล็กมาก ขาเล็ก ผอมแห้ง แรงน้อย พ่อก็มองว่าไม่มีกีฬาไหนที่เราสามารถเล่นได้" อรวรรณ กล่าวกับ Soundnity
"แต่ด้วยตัวหนูเอง เห็นพี่ๆ เวลาไปแข่งขันระดับตำบล ซึ่งสำหรับหนูเมื่อก่อนคือเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก พี่เขาไปแข่งมาแล้วได้เหรียญรางวัล ได้เงินรางวัล ครั้งละ 300 บ้าง 500 บ้าง เราเห็นเราก็อยากได้รางวัล อยากมีเงิน"
ตอนนั้นเธอเกือบจะถอดใจไปแล้ว แต่ความไม่ยอมแพ้ของพ่อที่ไปขอร้อง อาจารย์นิวาส สมคะเน ผู้อำนวยการโรงเรียน ที่สอนปิงปองให้เด็กเพราะความชอบอยู่แล้ว ก็ทำให้เธอได้สัมผัสกับกีฬาชนิดนี้
“พ่อเองก็เป็นภารโรงที่โรงเรียนที่หนูเรียนอยู่พอดี พ่อก็เลยไปคุยกับ ผอ. ให้” อรวรรณ หรือ ทิพย์กล่าวต่อ
“ด้วยบุญของหนูเองที่ไปเจอ ผอ.โรงเรียนที่เขาชอบและสนับสนุนปิงปองอยู่ด้วย เขาเลยอนุญาตให้เล่น”

แม้ในช่วงแรกเธอจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกพื้นฐานอย่างการตีบอลกับกำแพง เนื่องจากตัวยังเล็กเกินไป ขนาดยังยืนไม่พ้นขอบโต๊ะ แถมยังต้องยืมไม้ปิงปองจากผอ. เพราะไม่มีเงินซื้อ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจก็ทำให้เธอเริ่มฉายแววมาตั้งแต่ประถม
“ก่อนที่จะได้ตีปิงปองอย่างจริงจัง หนูต้องไปวิ่งเล่น จับลูก เก็บลูก เดาะลูกเป็นวัน พันลูก กว่าจะได้ตีบนโต๊ะ” อรวรรณอธิบาย
“เพราะว่าหัวหนูมันไม่ถึงโต๊ะ ผอ.เลยให้หนูไปเดาะๆๆ ตีกับผนัง เดาะเป็นพันๆ ลูก จนถึงน่าจะประมาณเกือบจะขึ้น ป.1 พอระยะสายตาเริ่มมองเห็นลูกบนโต๊ะ เขาก็ให้จับตีบนโต๊ะ แล้วเราก็ชอบตั้งแต่นั้นมา”
เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็กลายเป็นนักปิงปองที่ฝีมือโดดเด่นที่สุดของโรงเรียน จนได้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่จังหวัดนครราชสีมา และได้โควต้าเข้ามาศึกษาต่อในระดับมัธยมที่โรงเรียนกีฬากรุงเทพ
อรวรรณ รู้ดีว่าเธอไม่ได้มีต้นทุนเหมือนกับใครหลายคน ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการซ้อมอย่างหนัก เธอเล่าว่า หลังจากเลิกเรียนตอน 4 โมง เธอก็ซ้อมยาวจนถึง 4-5 ทุ่มทุกวัน จนแทบไม่ได้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นคนอื่น
“เป้าหมายคือเราอยากเป็นทีมชาติชุดใหญ่ อุปสรรคของเราคือการที่เราต้องทำยังไงก็ได้ พัฒนาตัวเอง ต้องซ้อมให้หนัก เพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าฝีมือเราสามารถแข่งกับรุ่นพี่ได้ ไปแล้วช่วยทีมได้” อรวรรณอธิบาย
“ตอนอยู่โรงเรียนกีฬาหนูซ้อมหนักมาก เรียนเช้าถึง 16:00 น. ซ้อม 17:00 น. - 21:00 น. 22:00 น. บ้าง”
“เป็นแบบนี้ตั้งแต่ ม.3 จนถึง ม.6 คือต้อง สละเวลาการเป็นวัยรุ่น ในช่วงอายุ 15-18 ไปเลย ชีวิตมีแต่ปิงปองจริงๆ”
แน่นอนว่าความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร เช่นกันสำหรับ อรวรรณ
โอลิมปิก 2 สมัย
“โอกาสสำหรับคนพร้อมที่จะรับ เราต้องทำตัวเองให้พร้อมที่จะรับโอกาสเสมอ เราก็คิดแค่ว่าลงมือทำไปก่อน” อรวรรณกล่าวกับ Soundnity
มันแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของ อรวรรณ เป็นอย่างดี และสิ่งนี้ก็ทำให้เธอก้าวขึ้นไปติดทีมชาติตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี ก่อนที่ในปี 2014 เธอจะก้าวขึ้นไปคว้าเหรียญทองแดงในประเภทคู่ผสมชิงแชมป์เอเชีย
ในปี 2015 โอกาสแรกในระดับชุดใหญ่ก็มาถึง เมื่อ อรวรรณ ในวัย 18 ปี ถูกเรียกติดทีมชาติลุยศึกซีเกมส์ แทนรุ่นพี่ที่ได้รับบาดเจ็บในประเภททีมหญิง และแม้ว่าในครั้งนั้น ไทยจะได้เพียงแค่เหรียญเงิน แต่ อรวรรณ ที่ลงแข่งประเภทเดี่ยวมือ 3 ก็สามารถเอาชนะเจ้าภาพไปได้
“ครั้งแรกที่ซีเกมส์ที่สิงคโปร์ เป็นครั้งแรกที่เริ่มเล่นทีมชาติชุดใหญ่ ได้ลงเป็นมือ 3 ในรอบชิง ซึ่งตอนนั้นเจอทีมสิงคโปร์ เป็นอะไรที่กดดันมาก เป็นแมตช์แรกที่เพิ่งเคยเล่นในนามระดับนานาชาติที่เจอผู้เล่นรุ่นใหญ่” อรวรรณย้อนความหลัง
และนั่นก็เป็นประสบการณ์ที่มีค่าของ อรวรรณ เมื่อ 2 ปีต่อมา เธอกลับมาในซีเกมส์อีกครั้งในฐานะเดี่ยวมือ 3 ที่จบลงด้วยเหรียญเงินในประเภททีม
จนกระทั่งในปี 2017 ความสำเร็จแรกของ อรวรรณ ก็มาถึง เมื่อเธอสามารถคว้าแชมป์ทั้งหญิงเดี่ยวและทีมหญิงในทัวร์นาเมนต์ที่เวียดนาม ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 31 ปีของนักตบลูกเด้งจากไทย
ก่อนที่ความสำเร็จดังกล่าวจะต่อยอดมาถึงซีเกมส์ 2019 ที่เวียดนาม ที่เธอก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ในประเภทหญิงคู่ ซึ่งเป็นเหรียญทองเหรียญแรกของเธอในซีเกมส์ แถมยังทำให้เธอได้ไปเล่นปิงปองอาชีพที่สเปน

แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อในปีต่อมา อรวรรณ ยังสามารถคว้าตั๋วเข้าไปเล่นใน โอลิมปิก 2020 ที่ญี่ปุ่น ก่อนจะจอดป้ายในรอบ 32 ทีมสุดท้าย หลังพ่ายต่อ คาสุมิ อิชิคาวะ ของเจ้าถิ่น
ความพ่ายแพ้ในโอลิมปิก ไม่ได้ทำให้ อรวรรณ หมดหวัง กลับกันมันกลายเป็นแรงผลักดัน จนทำให้เธอสามารถระเบิดฟอร์มในซีเกมส์ 2021 ก่อนจะคว้าได้ถึง 3 เหรียญทอง ในประเภทเดี่ยว คู่ และทีม
ก่อนที่ในปี 2022 อรวรรณ จะมาจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ ด้วยการพา Tecnigen Linares ต้นสังกัดในลีกสเปน คว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 39 ปี และทำให้เธอกลายเป็นหญิงไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์ลีกเทเบิลเทนนิสในแดนกระทิง
ผลงานที่โดดเด่นไม่เพียงสร้างชื่อเสียงให้ประเทศเท่านั้น แต่มันยังกลายเป็นแรงขับที่ทำให้ อรวรรณ ก้าวขึ้นไปคว้าเหรียญทองแดงประเภททีม ในเอเชียนเกมส์ 2022 ตามมาด้วยอีก 2 เหรียญทอง ในประเภทหญิงคู่ และทีมหญิง ในซีเกมส์ 2023 ที่กัมพูชา
นอกจากนี้ ในปี 2024 อรวรรณ ยังสามารถคว้าตั๋วไปเล่นโอลิมปิก ได้เป็นสมัยที่ 2 แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้เธอต้องกลับบ้านตั้งแต่เนิ่นๆ หลังพ่ายคู่แข่งจากยูเครนในรอบแรก
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมเทเบิลเทนนิส ทีมชาติไทยในการสู้ศึก ซีเกมส์ 2025 ที่เราเป็นเจ้าภาพ โดยมีเป้าหมายคือ 2 เหรียญทองเป็นอย่างน้อย ร่วมเป็นกำลังใจให้เธอในทัวร์นาเมนต์ที่จะเปิดฉากในวันที่ 9 ธันวาคมที่จะถึงนี้
“สำหรับปี 2025 ถ้าเอาหลักๆเลยก็น่าจะเป็นการแข่งขันซีเกมส์ 2025 ที่ประเทศไทยค่ะ ก็สำหรับหนูมองว่าเป็นแมตช์สำคัญ แมตช์ใหญ่ เพราะได้เล่นในบ้านด้วย” อรวรรณกล่าวกับ Siamsport
“สำหรับหนู ตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่ 2 เหรียญทอง อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเคยทำได้ 3 เหรียญทอง แต่ก็ไม่อยากกดดันตัวเองเกินไป ถ้ามีโอกาสก็จะทำให้เต็มที่ค่ะ”