ค่ำคืนนี้ ลีดส์ ยูไนเต็ด ของ ดาเนียล ฟาร์เค ที่ผลงานย่ำแย่สุดขีดหลังแพ้ 4 นัดรวด จะสามารถกอบกู้สถานการณ์ได้หรือไม่ เมื่อต้องเปิดบ้านพบทีมแชมป์โลกอย่าง เชลซี ที่ตอนนี้ไม่แพ้ใครมา 4 เกมติดต่อกัน
มองเผิน ๆ เกมนี้อาจเป็นเพียงเกมธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก เพราะเป็นการเจอกันของทีมอันดับ 3 จากหัวและท้ายของตาราง แต่ความเป็นจริงแล้วแฟนบอลของทั้งสองทีมนั้นมีความบาดหมางต่อกันมาถึงเกือบ 60 ปี...
เหตุใดกัน แฟน ลีดส์ ยูไนเต็ด และ เชลซี ถึงไม่ชอบขี้หน้ากัน? ร่วมย้อนประวัติศาสตร์ไปพร้อมกันได้ที่นี่
จุดเริ่มต้น
ลีดส์ ยูไนเต็ด และ เชลซี กลับมาดวลกันในพรีเมียร์ลีกช่วงปี 2020-2023 แต่ก่อนหน้านั้น 16 ปี ลีดส์ วนเวียนอยู่ในระดับแชมเปี้ยนชิพ และเขาเคยตกต่ำถึงลีกวัน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งสองทีมเคยพบกันเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในฟุตบอลถ้วย
แม้ทั้งคู่จะไม่ได้อยู่ในเมืองเดียวกัน และไม่ได้มีความเป็นอริกันในเชิงประวัติศาสตร์ แต่ความบาดหมางระหว่างแฟนบอลของทั้งสองทีมนั้นเกิดขึ้นในเกมรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 1966-67 ที่ เชลซี เฉือนชนะ 1-0 แต่ในเกมนั้นกลับเต็มไปด้วยข้อสงสัยสำหรับแฟนลีดส์มากมาย
เกมดังกล่าวที่วิลล่า พาร์ค ลีดส์ ถูกผู้ตัดสินปฏิเสธประตูตีเสมอสองครั้งในช่วง 7 นาทีสุดท้าย โดยลูกแรกถูกตัดสินว่าล้ำหน้า แต่สิ่งที่ทำให้แฟนยูงทองรับไม่ได้คือลูกฟรีคิกสูตรของ ปีเตอร์ ลอริเมอร์ ไม่ถูกนับเป็นประตู เพราะ “กำแพงของ เชลซี ถอยไม่ถึง 10 หลา” ส่งผลให้สิงห์บลูส์ได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
แต่เมื่อคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกัน...
จากนั้นทั้งคู่โคจรมาพบกันอีกครั้งในเอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ปี 1970 ซึ่งในเกมรีเพลย์ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้แสดงให้เห็นความดุเดือดของผู้เล่นทั้งสองทีมที่ทวีคูณขึ้น ถึงขนาดที่ผู้ตัดสินชั้นนำของพรีเมียร์ลีก ณ ปัจจุบันอย่าง ไมเคิล โอลิเวอร์ เคยกล่าวว่าหากเป็นปัจจุบันเกมนี้คงมีใบแดงมากถึง 11 ใบ
สุดท้ายแล้วเป็น เชลซี ที่เป็นฝ่ายคว้าชัยได้อีกครั้งด้วยสกอร์ 2-1 และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แฟนบอลของทั้งสองทีมเริ่มไม่ชอบขี้หน้ากัน
อริต่างเมือง
ช่วงปลายยุค 70s และต้นยุค 80s ความขัดแย้งและความรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างแฟนบอลทั้งสองทีม ในขณะที่ปัญหาฮูลิแกนก็ได้เป็นปัญหาใหญ่ที่ปะทุขึ้นทั่ววงการฟุตบอลอังกฤษ
ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนตุลาคม 1982 เมื่อ ลีดส์ เดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อลงเล่นที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ แฟนบอลทั้งสองทีมก็ได้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทกันที่ พิคคาดิลลี เซอร์คัส
โดยในวันนั้นตำรวจได้จับกุมผู้ก่อเหตุ 153 คน นอกสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เนื่องจากแฟนบอลของทั้งสองทีมปะทะกันรอบ ๆ พิคคาดิลลี เซอร์คัส และบริเวณรถไฟใต้ดิน ก่อนจะมีการจับกุมเพิ่มเติมอีก 60 คนในภายหลัง

ในปี 1984 เคน เบตส์ เจ้าของทีมเชลซี ณ เวลานั้น ได้กล่าวคำพูดที่โด่งดังและฉาวโฉ่ที่สุดคำหนึ่งของเขา หลังจากที่แฟนบอลลีดส์สร้างความเสียหายให้กับสกอร์บอร์ดใหม่ที่เดอะ บริดจ์
“ผมจะไม่หยุดจนกว่า ลีดส์ ยูไนเต็ด จะถูกขับไล่ออกจากฟุตบอลลีก แฟนบอลของพวกเขาคือขยะสังคม น่ารังเกียจ และน่าอับอาย ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น”
ต่อมาในช่วงยุค 90s ลีดส์ และ เชลซี ต่างมีรากฐานฟุตบอลที่มั่นคง ทำให้พวกเขาทั้งคู่กลายเป็นคู่แข่งแย่งชิงพื้นที่ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในเดือนธันวาคม 1997 มีใบเหลืองถึง 8 ใบ โดย ลีดส์ มีนักเตะถูกไล่ออก 2 คน แต่สกอร์จบลงแบบจืดสนิท 0-0
ในปีต่อมา ก็มีใบเหลืองถึง 12 ใบ และเป็นอีกครั้งแต่เกมจบลงไปแบบไม่มีสกอร์ ต่างจากความดุเดือดในสนามอย่างสิ้นเชิง

“แฟนบอลรุ่นเก๋ายังคงพูดถึงความเข้มข้นในการเจอกัน ทั้งในส่วนของผู้เล่นและกองเชียร์ ยิ่งเป็นการลงเล่นในเกมที่มีความสำคัญและมีแชมป์เป็นเดิมพัน ยิ่งช่วยเพิ่มความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันมากขึ้น” ไซมอน จอห์นสอน จาก The Athletic ระบุ
“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอลเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนถึงความแตกต่างระหว่างเหนือกับใต้ในอังกฤษอีกด้วย โดย เชลซี ถูกมองว่าเป็นทีมที่มีเสน่ห์และหรูหรา เพราะพวกเขาอยู่ใกล้กับถนนคิงส์โร้ดในลอนดอน ในขณะที่ ลีดส์ ก็เทียบชั้นกับทีมอื่นๆ ด้วยความมุ่งมั่นและการต่อสู้อย่างเต็มที่ ซึ่งบางครั้งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ”
แต่อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้น ว่าการที่ทั้งคู่ไม่ค่อยได้พบกันช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อาจทำให้ความดุเดือดนั้นเบาบางลงไปบ้าง และแฟนบอลรุ่นใหม่อาจไม่ได้อินกับความเป็นอริต่างเมืองของทั้งสองทีมมากนัก...
บทความที่เกี่ยวข้อง
จากรุ่นสู่รุ่น: เหตุใด ลีดส์ ยูไนเต็ด ถึงครองใจแฟนบอลในไอร์แลนด์ได้มากกว่า 50,000 คน?
รู้จัก M23 ดาร์บี้แมทช์: ความแค้นสุดเพี้ยนของไบร์ทตัน-คริสตัล พาเลซ
น็อตติงแฮม ดาร์บี้: ดาร์บี้แมทช์ที่ใกล้ที่สุดในอังกฤษด้วยระยะทาง 270 เมตร