แมนฯ ซิตี้ ต้องหยุดเส้นทางฟุตบอลสโมสรโลก ไว้แค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังเจอที่เด็ดของ อัล ฮิลาล แชมป์ เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ในช่วงต่อเวลาพิเศษ พ่ายไปด้วยสกอร์ 3-4
ทั้งนี้ แม้ได้เงินโบนัสจากการเข้าร่วมมาไม่น้อย แต่พวกเขาจะเหลือเวลาพักผ่อนน้อยกว่าคู่แข่งในลีกก่อนที่ฤดูกาลจะเปิดขึ้นในอีกเดือนเศษ
จึงเกิดคำถามว่าสำหรับเรือใบสีฟ้า มันคุ้มค่าแค่ไหน สำหรับการเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์นี้ ? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน
คุ้มค่าแค่ไหน?
แม้ว่าฟุตบอลสโมสรโลก จะเปิดฉากขึ้นทันที หลังลีกยุโรปรูดม่าน แต่สำหรับ แมนฯ ซิตี้ อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทดลองทีม หลังเพิ่งผ่านฤดูกาลสุดชอกช้ำ
พวกเขาได้มีโอกาสใช้งานผู้เล่นใหม่ทันทีในทัวร์นาเมนต์ที่สหรัฐฯ และแต่ละคนก็มีผลงาน ดีบ้าง แย่บ้าง ผสมปนเปกันไป
เริ่มจาก ทิยานี่ ไรจ์นเดอร์ ที่คาดหมายว่าจะเข้ามาแทนช่องว่างของ เควิน เดอ บรอยน์ ที่อำลาทีมไป และเขาก็ทำได้ดี โดยเฉพาะการนำมาซึ่งความกระตือรือร้นและกระฉับกระเฉงในแผงมิดฟิลด์
ขณะที่ รายาน เชอร์กี ที่แม้ประเดิมประตูแรกให้เรือใบสีฟ้า ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม รวมถึงทำแอสซิสต์ให้ ฟิล โฟเดน ในเกมพบ อัล ฮิลาล แต่ยังมีความกังวลว่าสุดท้ายว่าจะทำได้ดีแค่ไหน
แต่ที่หนักสุดคือ รายาน ไอต์-นูรี ที่นอกจากความสามารถในการบุกจะยังไม่ชัดเจน คุณภาพในเกมรับ ก็ถูกตั้งคำถาม โดยเฉพาะการถูกแนวรุกของ อัล ฮิลาล ผลัดกันทะลุทะลวงในเกมนัดล่าสุด
นอกจากนี้ นักเตะเก่าหลายคน ก็ถูกทดสอบขั้นสุดท้ายในรายการนี้ ว่าจะได้ไปต่อ หรือเก็บของแยกย้าย ไม่ว่าจะเป็น มาเธอุส นูเญส อดีตมิดฟิลด์ที่ถอยมาเล่นแบ็คเต็มตัว ที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้ โดยเฉพาะการต้องเจอกับคู่แข่งที่เทคนิคแพรวพราว
หรือเซ็นเตอร์คู่กลางของพวกเขา ที่เจอกับปัญหาทุกครั้งเมื่อต้องรับมือกับคู่แข่งที่มีความเร็ว และมันก็เห็นภาพชัดจากแทคติกของ เป๊บ กวาร์ดิโอลา ที่มักดันกองหลังมาถึงเส้นกลางสนาม ก่อนลงเอยกับการที่แนวรับพวกเขาไล่กวดกองหน้าคู่แข่งไม่ทัน
ชัดเจนว่า เป๊บ จำเป็นต้องปรับแต่งจำนวนผู้เล่นทีมให้สมบูรณ์ที่สุด ไม่มากไป ไม่น้อยไป สำหรับการท้าชิงแชมป์หลายรายการในซีซั่นหน้า และทำให้ อนาคตของ จอห์น สโตน คลุมเครือ เพราะเขาเป็นผู้เล่นเอาท์ฟิลด์เพียงคนเดียวของ เรือใบสีฟ้า ที่ไม่ได้ลงเล่นแม้แต่นาทีเดียวในทัวร์นาเมนต์
ได้เงินเท่าไร?
เงิน และเงิน น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายทีมยอมเข้าร่วมคลับเวิลด์คัพครั้งนี้ เช่นกันกับ แมนฯ ซิตี้ ที่กวาดเงินไปไม่น้อย แม้จะจบเส้นทางแค่รอบ 2
ในรอบแรก เรือใบสีฟ้าสามารถโกยเงินได้มากที่สุด เนื่องจากพวกเขาเป็นทีมเดียวที่คว้าชัยครบทั้ง 3 เกม และได้รับโบนัสรวมไปราว 4.4 ล้านปอนด์ ก่อนจะได้เพิ่มจากการลงเล่นในรอบ 16 ทีมอีก 5.5 ล้านปอนด์
และเมื่อรวมจากโบนัสเข้าร่วม 27.9 ล้านปอนด์ ทำให้ แมนฯ ซิตี้ รับทรัพย์จากทริปที่สหรัฐฯ ครั้งนี้ไปถึง 37.8 ล้านปอนด์ เรียกว่าเอามาจ่ายค่าตัว ไอต์-นูรี (31 ล้านปอนด์) หรือ เชอร์กี (30.5 ล้านปอนด์) ได้สบาย
อันที่จริง หากพวกเขาเข้าไปถึงรอบ 8 ทีม ก็จะได้เงินมาอีก 9.5 ล้านปอนด์ และอาจทำรายได้รวมสูงถึง 53.8 ล้านปอนด์ ภายในทัวร์นาเมนต์เดียว หากก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์
อย่างไรก็ดี เม็ดเงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้ ก็มีราคาที่ต้องจ่ายเช่นกัน
เหลือเวลาพักแค่ไหน?
แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องแลกมากับการเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์นี้ ก็คือเวลาพักที่น้อยกว่าเพื่อนร่วมลีก โดยเฉพาะหลังซีซั่นที่พวกเขาลงเล่นอย่างต่อเนื่องกว่าครึ่งร้อยเกม
ฤดูกาลที่แล้ว แมนฯ ซิตี้ ลงสนามไปทั้งสิ้น 61 เกม มากที่สุดเทียบนับตั้งแต่ กวาร์ดิโอลา เข้ามาคุมทีมครั้งแรกเมื่อปี 2016
และถ้าหากนับในลีกยุโรป มีแค่ 3 ทีมที่ลงเล่นมากกว่าพวกเขา ได้แก่ เรอัล มาดริด (65 นัด), อินเตอร์ มิลาน (63 นัด) และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง (62 นัด)
อย่างไรก็ดี เชลซี ที่ลงเล่นไป 61 นัด ก็มีโอกาสแซงหน้าพวกเขา หลังทะลุเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย เตรียมลงเล่นกับ พัลไมรัส ในสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้
อันที่จริง แมนฯ ซิตี้ ก็มีปัญหาผู้เล่นเหนื่อยล้ามาตลอด โดยเฉพาะการมีผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ 4 จาก 15 คน ที่ลงเล่นเกิน 100 นัด ใน 2 ฤดูกาลล่าสุด
ผู้เล่นเหล่านั้นได้แก่ ไรจ์นเดอร์ (107 เกม) ที่เพิ่งซื้อมา, อิลคาย กุนโดกัน (105 เกม), ฟิล โฟเดน (102 เกม) และ แบร์นาโด ซิลวา (101 เกม)
นอกจากนี้ ผู้เล่นทั้ง 3 จาก 4 คนนี้ก็ล้วนเป็นตัวจริงให้แก่ทีมชาติในยูโร 2024 ยกเว้นแค่ กุนโดกัน ที่ประกาศเลิกเล่นไปแล้ว
นับจนถึงตอนนี้ แมนฯ ซิตี้ ก็เหลือเวลาอีกราว 1 เดือนกับอีก 13 วัน ในการเตรียมพร้อมสำหรับ พรีเมียร์ลีก 2025/26 ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งเป็นฤดูกาลที่พวกเขามุ่งมั่นจะกลับมาให้ได้ หลังจากล้มเหลวเมื่อซีซั่นก่อน
ถือเป็นโจทย์ยากอีกครั้งของ กวาร์ดิโอลา ในการนำเรือใบสีฟ้าที่เคยอับปาง กลับมาให้แล่นฉิว ท่ามกลางคู่แข่งที่โหดหินและเขี้ยวลากดิน แบบไม่มีใครยอมใคร