ในเดือนมีนาคมปี 2019 แฟนบอลลิเวอร์พูลรายหนึ่งนาม “แจ็ค เฟนท์” ได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นเนื้องอกในสมองที่รักษาไม่หาย และได้รับการบอกว่าเขาโชคดีมากหากมีชีวิตอยู่เกิน 40 ปี
การถูกพบว่าเป็นโรคร้ายบนวัย 20 กลาง ๆ อาจทำให้ใครหลายคนเข่าทรุด แต่ไม่ใช่กับเดอะ ค็อปรายนี้ เมื่อเขาตัดสินใจเก็บกระเป๋าออกเดินทางไปท่องโลกกว้าง เพื่อค้นหาความหมายของชีวิต พร้อมด้วยภารกิจอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมี ลิเวอร์พูล เป็นกำลังใจระหว่างทาง
เรื่องราวของ แจ็ค เฟนท์ เป็นเช่นไร? ติดตามการผจญภัยของเขาได้ที่นี่
โรคร้ายบนวัยเบญจเพส
แจ็ค เฟนท์ ชายหนุ่มจากฮาร์ตฟอร์ด หมู่บ้านเล็ก ๆ ในเชสเชอร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ อุทิศวิญญาณให้กับ ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และเขาใช้เงินครึ่งหนึ่งที่หามาได้ ตามเชียร์ทีมรักไปทั่วยุโรปในช่วงวัย 20 ต้น ๆ รวมถึงนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก 3 ครั้งหลังสุด
แต่แล้วเมื่อถึงวัยเบญจเพสชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล...ในปี 2019 ขณะที่ เฟนท์ อายุ 25 ปี กำลังปั่นจักรยานไปทำงานในประเทศออสเตรเลีย อยู่ ๆ เขาก็เกิดอาการชักและศีรษะกระแทกพื้น จนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที ก่อนจะตื่นมาพบกับข่าวร้ายเมื่อเขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมองที่รักษาไม่หาย หรือที่เรียกว่า “oligodendroglioma”
“ผู้อำนวยการศัลยกรรมประสาทเข้ามาหลังจากการสแกน MRI และบอกผมว่า 'เราคิดว่าคุณน่าจะมีเนื้องอกในสมอง'” แจ็ค เฟนท์ เล่าผ่าน The Athletic
“ก่อนการวินิจฉัยโรค ผมก็เหมือนกับคนวัย 20 ต้น ๆ หลาย ๆ คน ที่ดื่มเหล้า เสพยา และสูบบุหรี่เยอะมาก ผมไม่ได้ดูแลตัวเองเลย ไม่ได้ออกกำลังกายใด ๆ เลย และมีน้ำหนักเกินมาก”
แพทย์ได้แนะนำให้เขาเลิกเหล้า รับประทานอาหารออร์แกนิกจากพืช และทำสมาธิ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ เฟนท์ มีความคิดอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง
“ผมไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถป้องกันเนื้องอกในสมองได้จริงหรือไม่ แต่ผมคิดว่าคุณหมอเขาน่ะคงจะวางบทบาทการเป็นหมอลง แล้วเปลี่ยนมามองในมุมของเพื่อนมนุษย์มากกว่า และเห็นว่าชายหนุ่มคนนี้ต้องการการเปลี่ยนแปลงในชีวิต คุณหมอเลยแนะนำแนวทางให้เขาทำ ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่ผมทำตาม”
ออกเดินทาง
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาหลังจากพบกับจุดเปลี่ยนชีวิต เฟนท์ ตัดสินใจออกเดินทางคนเดียวเป็นเวลา 1 ปีทั่วอเมริกาใต้และเอเชีย โดยใช้เวลา 4 เดือนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตมากที่สุดในอินเดีย ที่ซึ่งเขาได้ค้นพบโยคะ การฝึกหายใจ และการทำสมาธิ
“มันช่วยให้ผมจัดกรอบความคิดใหม่ และปรับมุมมองใหม่เกี่ยวกับผลการวินิจฉัยที่ได้มา และยังช่วยให้ผมเริ่มฝึกฝนการแสดงความรู้สึกขอบคุณด้วย การทำสมาธิกลายเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผมที่นั่น และเป็นวิธีที่ผมใช้รับมือกับสิ่งที่ผมถูกวินิจฉัยว่าเป็นอยู่”
“ผมมีทัศนคติตลอดว่าอย่าร้องไห้กับนมที่หก เมื่อทำบางอย่างเสร็จแล้ว คุณจะตอบสนองอย่างกระตือรือร้นและมองโลกในแง่ดี แทนที่จะกังวลว่าอะไรได้เกิดขึ้นไปแล้ว”
“ผมได้เรียนรู้ที่จะปรับตัว แต่มันเหมือนนั่งรถไฟเหาะ ผมมีภาวะซึมเศร้าเป็นระยะ ๆ ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา และหลายครั้งที่ผมต้องดิ้นรนกับการจัดการชีวิตและความเป็นจริงที่ผมต้องเผชิญ”
“ครอบครัว และการออกกำลังกายอย่างมีวินัยก็ช่วยได้เสมอ การทำสมาธิและการฝึกความกตัญญูของผมช่วยชีวิตผมไว้หลายครั้ง แต่ยังมีคนที่คุณรักอยู่เคียงข้าง คอยช่วยหล่อหลอมและสนับสนุนคุณในยามยากลำบาก”
เมื่อ เฟนท์ กลับมาจากการเดินทาง เขาก็เริ่มวิ่งมาราธอนและอัลตรามาราธอน โดยระดมทุนให้กับองค์กรการกุศลเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายแห่ง ซึ่งนี่ถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา
นั่นก็คือการวิ่งระยะทางเกือบ 4,000 กิโลเมตร จากปลายทางตอนเหนือของอินเดียในภูเขาลาดัคจนถึงการจบที่ปลายทางใต้ของประเทศในเมืองคันยาคุมารี โดยมีเป้าหมายที่จะจบภารกิจให้ได้ภายใน 80 วัน
พิชิตภารกิจอันยิ่งใหญ่
ดั่งที่เพลงประจำสโมสรลิเวอร์พูล อย่าง You'll Never Walk Alone บอกว่า “คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย” เฟนท์ มีผู้ร่วมเดินทางหลายราย เขาได้ จอร์แดน แฟร์คลัฟ อดีตโค้ชฟิตเนสของลิเวอร์พูลยุค เยอร์เกน คล็อปป์ คอยให้การสนับสนุนตลอดเส้นทาง
นอกจากนี้ยังมี เฟร็ด รีด ผู้ช่วยด้านโลจิสติกส์และวางแผนเส้นทาง, ช่างภาพอีก 3 คนที่ร่วมเดินทางด้วยในหลายจุด และ แดเนียล โรบินสัน ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นผู้ควบคุมโดรนและช่างภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นนักโภชนาการและคอยดูแลให้ เฟนท์ ได้รับพลังงาน 5,000 ถึง 6,000 แคลอรี่ต่อวันที่จำเป็นต่อการเติมเต็มร่างกาย
โดย เฟนท์ เริ่มวิ่งเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ทางตอนเหนือของอินเดีย ในระดับความสูง 12,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล ณ ค่ายฐานเซียเชนในเทือกเขาหิมาลัย โดยเกือบทุกวันเขาจะวิ่ง 50 กิโลเมตร ซึ่งบ่อยครั้งต้องวิ่งครั้งละ 7-9 ชั่วโมง และเผชิญกับอุปสรรคทั้งทางร่างกายและจิตใจอยู่ตลอดทาง
🏃♂️ Jack Faint, aficionado del #LFC diagnosticado con un tumor cerebral incurable, está corriendo 𝟰.𝟬𝟬𝟬 𝗸𝗺 𝗽𝗼𝗿 𝘁𝗼𝗱𝗮 𝗹𝗮 𝗜𝗻𝗱𝗶𝗮. Desde Ladakh hasta Kanyakumari, su meta es completarlo en 80 días.
— 🔴 Esto Es Anfield #Liverpool (@estoesanfield_) October 9, 2025
«Ha sido increíble», dice a mitad de su viaje. 🌍❤️ #YNWA pic.twitter.com/MQhScUoblD
หลังจากวิ่งครบ 84 กิโลเมตร เขาเกือบจะหลับไปขณะวิ่ง นอกจากนี้ยังมีอาการพุพองและอาการอาหารเป็นพิษที่ทำให้เขาต้องนอนติดเตียง 2 วันก่อนถึงเส้นชัย นอกจากนี้ยังมีอาการบาดเจ็บที่บังคับให้เขาต้องพักในวันที่ 11 อีกด้วย และแน่นอนว่าความรู้สึกท้อก็มีเข้ามาเป็นระยะ ๆ
แต่ระหว่างทางใช่ว่าจะพบแต่อุปสรรคเสมอไป เพราะทุกการเดินทางย่อมเกิดเรื่องราวดี ๆ เสมอ โดยในวันที่ 8 ของภารกิจ ขณะที่เขากำลังเดินทางผ่านหุบเขาหิมาลัย ซึ่งบางช่วงมีความสูงกว่า 5,000 เมตร จดหมายจาก อาร์เน่อ ชล็อต ก็ส่งมาถึงมือ เฟนท์ ซึ่งมันช่วยให้เขาสามารถสู้ต่อไปได้
“คนอย่างคุณนี่แหละที่ทำให้สโมสรแห่งนี้เป็นอย่างทุกวันนี้ และในนามของนักเตะ ทีมงาน และตัวผมเอง ผมอยากให้คุณรู้ว่าคุณมีคุณค่ามากแค่ไหน เรื่องราวของคุณเป็นแรงบันดาลใจมากแค่ไหน และเราทุกคนอยู่เคียงข้างและสนับสนุนคุณ เช่นเดียวกับที่คุณสนับสนุนเรา” ข้อความในจดหมายระบุ
ท้ายที่สุด เฟนท์ และทีมงาน ทำภารกิจเสร็จสิ้น สิ้นสุดการเดินทาง 3,666 กิโลเมตร ภายใน 74 วัน ซึ่งน้อยกว่าที่เขาตั้งไว้ถึง 6 วันเลยทีเดียว และได้กลายเป็นมนุษย์คนแรกในประวัติศาสตร์ที่วิ่งจากสุดด้านหนึ่งไปสุดอีกด้านหนึ่งของอินเดียได้สำเร็จ
“มีหลายอารมณ์ที่หลั่งไหลเข้ามา ทั้งความภาคภูมิใจ ความสุข ความกตัญญู และความเศร้าที่การผจญภัยที่ดีที่สุดในชีวิตของผมกำลังจะสิ้นสุดลง” แจ็ค เฟนท์ กล่าวความรู้สึกหลังทำภารกิจสำเร็จ
“หนึ่งในข้อความที่ผมพยายามย้ำเสมอมาคือ สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้จริง ๆ คือวิธีที่เราตอบสนอง นั่นเป็นทางเลือกเดียวที่เรามี เราทุกคนต้องเผชิญกับความยากลำบาก เราทุกคนจะต้องสูญเสียคนที่เรารักไปในชีวิต เราทุกคนจะต้องเผชิญกับเรื่องยากลำบาก ในช่วงเวลาเหล่านั้น”
“ทุกคนสมควรได้รับความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเสมอว่าเราจะตอบสนองอย่างไร”
“เราจะนอนจมอยู่บนเตียงและสงสารตัวเองไหม? หรือว่าเราจะลุกออกไปข้างนอกและพยายามเปลี่ยนเรื่องแย่ ๆ นั้นให้กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีงาม ที่จะสามารถบอกเล่าให้คนอื่น ๆ ที่อาจจะกำลังคิดแบบเดียวกันได้รู้ว่า 'เป้าหมายในชีวิต' มันหน้าตาเป็นยังไง?”
“นอกจากนี้ มันยังเกี่ยวกับการพยายามแสดงให้คนที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมองหรือมะเร็งได้เห็นด้วย พวกเขาอาจจะรู้สึกว่านี่คือจุดเริ่มต้นของจุดจบ และจมอยู่กับความกลัวนั้น แต่มันไม่ใช่จุดจบเลย”