ย้อนกลับไปในช่วงยุค 2000s ทีมชาติอังกฤษถือว่าเป็น “ยุคทอง” ด้วยผู้เล่นฝีเท้าระดับเอกอุ ไม่ว่าจะเป็น ริโอ เฟอร์ดินานด์, พอล สโคลส์, แฟรงค์ แลมพาร์ด, หรือ เดวิด เบ็คแฮม
อย่างไรก็ดี อาจจะไม่ใช่สำหรับ สตีเวน เจอร์ราร์ด หนึ่งในแกนหลักของทีมชุดนั้น เมื่อเขามองว่ายุคของเขาล้วนเต็มไปด้วยพวกขี้แพ้ที่มีแต่ความอวดดี
เหตุใด อดีตกัปตันลิเวอร์พูล จึงพูดแบบนั้น? ติดตามไปพร้อมกัน
ยุค (เกือบ) ทอง
แม้ว่าจะเป็นชาติแรกที่ให้กำเนิดฟุตบอลยุคใหม่ และเป็นอดีตแชมป์โลก แต่อังกฤษ ก็ห่างหายจากความสำเร็จมาอย่างยาวนาน โดยผลงานที่ดีที่สุดหลังจากนั้น คือการเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้าย ยูโร 1996 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ
ทว่า ทันทีที่ปฏิทินเปลี่ยนเป็นศตวรรษใหม่ สิงโตคำรามก็เริ่มมีความหวังอีกครั้ง ด้วยผู้เล่นฝีเท้าระดับพระกาฬ ไม่ว่าจะเป็น ริโอ เฟอร์ดินานด์, พอล สโคลส์, แฟรงค์ แลมพาร์ด, เดวิด เบ็คแฮม, ไมเคิล โอเวนหรือ สตีเวน เจอร์ราร์ด
นอกจากนี้ ผลงานของทีมจากอังกฤษในสโมสรฟุตบอลยุโรป ที่พวกเขาเหล่านี้เป็นแกนหลัก ก็โดดเด่นไม่น้อย ทั้งการก้าวไปถึงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ของ ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2005 และ 2008 หรือการเข้าไปชิงชนะเลิศ ยูฟ่า คัพ (ยูโรปาลีกในปัจจุบัน) อย่างเซอร์ไพรส์ ของ มิดเดิลสโบรห์ และ ฟูแลม ในปี 2006 และ 2010 ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะแทบไม่ต้องพูดถึงการคว้าแชมป์ แค่เข้าชิงชนะเลิศ ทีมชาติอังกฤษก็ไม่สามารถทำได้เลยสักครั้ง ไม่ว่าจะฟุตบอลโลก หรือ ยูโร ซึ่งมักจะจอดป้ายอยู่แค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น
หนึ่งในปัญหาสำคัญคือ ความกลมเกลียวภายในทีม ที่ เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันสิงโตคำรามถึงขั้นบอกว่าทีมชาติอังกฤษยุคเขาเต็มไปด้วยพวกขี้แพ้ที่เต็มไปด้วยอีโก้

“ผมคิดว่าเราทุกคนต่างเป็นขี้แพ้ที่เต็มไปด้วยอีโก้” เจอร์ราร์ด กล่าวในรายการ Rio Ferdinand Presents Podcast
เขายังได้ยกตัวอย่างความสัมพันธ์ของ เจมี คาราเกอร์ อดีตเพื่อนร่วมทีม และ แกรี เนวิลล์ ที่สนิทกันราวกับคบกับมาเป็นสิบยี่สิบปี รวมถึงตัวเขาเอง ที่สนิทกับ เฟอร์ดินานด์ และนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด คนอื่นกว่าตอนที่เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ
“เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมทีมมา 20 ปี” เจอร์ราร์ด กล่าวต่อ
“แล้วทำไมพวกเราไม่ผูกสัมพันธ์ กันตอน 20,21, 22, 23 ปี? เป็นเพราะอีโก้ไม่ใช่หรือ? หรือเพราะเราเป็นคู่แข่งกัน? ทำไมตอนนี้พอพวกเราโตแล้ว กลับอยู่ในจุดที่ชีวิตสนิทกันและผูกสัมพันธ์กันมากขึ้น? ทำไมเราไม่ผูกสัมพันธ์ตอนที่เป็นเพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษในตอนนั้น”
ทว่า เจอร์ราร์ด ก็เสริมว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้น
ช่องว่างจากวัฒนธรรม
ด้วยความที่เป็นผู้เล่นที่รับใช้ทีมชาติมากที่สุดอันดับ 4 ตลอดกาล ด้วยจำนวน 114 นัด ทำให้ เจอร์ราร์ด เห็นการเปลี่ยนผ่านของสิงโตคำรามมาหลายยุคหลายสมัย
ทำให้เขามองว่าเหตุผลที่ทำให้ทีมชาติอังกฤษในยุคของเขาห่างเหินกัน ก็คือวัฒนธรรมที่ทุกคนเอาแต่มีเวลาส่วนตัว จนทำให้ไม่ได้สนิทกันเท่าที่ควร
“ผมคิดว่ามันเป็นเพราะวัฒนธรรมของทีมชาติอังกฤษ ที่ทำให้เราทุกคนไม่เคยผูกสัมพันธ์กันเลย ทุกคนอยู่แต่ในห้องของตัวเองมากเกินไป เราจึงไม่ได้เป็นมิตรหรือผูกสัมพันธ์ต่อกัน เราไม่ได้เป็นทีมเดียวกันเลย เราไม่เคยกลายเป็นทีมที่ดีและแข็งแกร่งเลยจริงๆ” อดีตกัปตันลิเวอร์พูลให้ความเห็น

ด้วยเหตุนี้ เจอร์ราร์ด จึงยอมรับว่าเขาไม่เคยชอบเวลาถูกเรียกติดทีมชาติเลย ที่ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากรับใช้ชาติ แต่เขาเกลียดบรรยากาศที่ต้องเจอ
“ผมเกลียดมัน ผมไม่สนุกกับมันเลย เกลียดการอยู่แต่ในห้อง (ของโรงแรม) มาก” เจอร์ราร์ด ย้อนความหลัง
“ช่วงแรกผมรู้สึกแย่มาก มีบางวันที่ผมรู้สึกแย่มาก เหมือนกับว่าผมต้องอยู่ห้องนี้ 7 ชั่วโมง แล้วผมจะทำอะไรดีล่ะ มันไม่มีโซเชียลมีเดีย ไม่มีแม้แต่ดีวีดี มีแค่ช่อง 1-5 บนทีวี ผมจึงรู้สึกแย่มากๆ”
“ผมรักการลงเล่น ผมชอบที่ได้เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ มันเป็นความภาคภูมิใจจริงๆ ผมสนุกกับการซ้อม แต่มันแค่ 90 นาทีต่อวัน หลังจากนั้นผมก็อยู่คนเดียว ผมไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับทีม ผมไม่ได้รู้สึกเชื่อมโยงกับเพื่อนร่วมทีมในทีมชาติอังกฤษเลย”
และสิ่งที่ทำให้เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเอง คือเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ตอนเล่นให้ ลิเวอร์พูล และเชื่อว่ามันเป็นวัฒนธรรมเฉพาะของทีมชาติอังกฤษ
“ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับ ลิเวอร์พูล พวกเขาคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผม ผมรู้สึกว่าสต้าฟดูแลผม เป็นความรู้สึกที่พิเศษ ผมรู้สึกรอไม่ไหวที่จะไปที่นั่น” เจอร์ราร์ดอธิบาย
“แต่กับทีมชาติอังกฤษ ผมแค่อยากให้ถึงเวลาแข่งและซ้อมเท่านั้น หลังจากนั้นก็ออกไปจากที่นั่น”
และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมทีมชาติอังกฤษ ไม่เคยรู้จักกับความสำเร็จเลยในช่วงทศวรรษที่ 2010s แม้ เจอร์ราร์ด จะยืนยันว่ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นก็ตาม
“ผมคิดว่ามันเป็นส่วนผสมจากหลายๆอย่าง แต่หนึ่งในสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเราผม คือเราไม่ได้เป็นทีมเลย เราเป็นแค่กลุ่มนักเตะที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ มันจึงไม่เคยเวิร์คหรอก” อดีตกัปตันสิงโตคำรามกล่าว