ย้อนเวลากลับไปในช่วงเปิดตัวพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015-16 บอร์นมัธดูตื่นเต้นสุดขีดกับการเล่นลีกสูงสุดครั้งแรก สวอนซีก็ดูสบาย ๆ แต่เชลซี… บรรยากาศตรงกันข้าม
เพียงสามเดือนก่อนหน้านั้น โชเซ่ มูรินโญ่เพิ่งพาเชลซีคว้าแชมป์ แต่วันนั้นเขานั่งคุยกับสื่อด้วยสีหน้าเหมือนอยากอยู่ที่อื่นมากกว่า ถูกถามถึงโอกาสป้องกันแชมป์ก็ตอบแบบห้วน ๆ ไม่มีอารมณ์ร่วม ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าอนาคตกำลังมืดมน
หนึ่งวันต่อมา เขาต่อสัญญาใหม่ 4 ปี พร้อมประกาศว่าดีใจที่จะอยู่กับทีม “ไปอีกนาน”
แต่ 4เดือนหลังจากนั้น เขาถูกปลด เชลซีหล่นไปอยู่ที่ 16 ชนะเพียง 4 จาก 16 เกม และบรรยากาศในทีมเละเทะจนถูกอธิบายด้วยคำว่า “palpable discord” หรือ “แตกหักแบบเห็นได้ชัด”
ฤดูกาลนั้นคือทุกสิ่งที่ผิดพลาดได้ของทีมแชมป์ทะเลาะหมอกายภาพ งัดกับนักเตะตัวหลัก สัมภาษณ์แบบ “ผมไม่อยากพูด” อันลือลั่น และสุดท้ายคือความรู้สึกว่า “นี่ไม่ใช่ทีมแชมป์อีกต่อไป”
ทำไมทีมแชมป์ถึงหลุดฟอร์มหนักหลังปีทอง?
ย้อนมาดูลิเวอร์พูลในตอนนี้ หลายคนสงสัยว่าการล่มสลายของทีมแชมป์ที่กำลังเกิดขึ้น… เคยเห็นที่ไหนมาก่อน?
คำตอบคือ เมื่อปีที่แล้วเอง
แมนฯ ซิตี้ออกสตาร์ตดี แต่ดิ่งยาวจนแพ้ 6 จาก 8 เกมก่อนคริสต์มาส และปิดฤดูกาลด้วย 71 แต้ม น้อยกว่าปีก่อน 20 แต้ม
ลิเวอร์พูลเองก็เคยล้มหนักในปี 2020-21 แพ้ 6 จาก 7 เกม และแต้มลดลงถึง 30 ล้มเหลวในการป้องกันแชมป์แบบสุดช็อก
แม้จะมีทีมอย่างแมนฯ ซิตี้ ยุคเป๊ป ที่ทำให้การป้องกันแชมป์ดูง่าย แต่ข้อเท็จจริงคือ…
9 จาก 15 ทีมแชมป์ล่าสุด “แต้มร่วงอย่างน้อย 10 แต้ม” ในปีถัดมา
และ 6 ทีมร่วงหนักเกิน 20 แต้ม
โดยเฉพาะกรณีสุดโต่งอย่างเชลซี (2015-16) และเลสเตอร์ (2016-17) ที่แต้มหล่นถึง 37 แต้ม
มันเป็นปัญหา “ความกระหาย” อย่างที่ รอย คีน ว่าจริงไหม?
คีนเคยด่าลิเวอร์พูลว่า “bad champions” ในปี 2021
แต่ Dan Abrahams นักจิตวิทยากีฬาที่ทำงานกับหลายสโมสรพรีเมียร์ลีกมองว่ามันซับซ้อนกว่านั้นมาก
เขาบอกว่า ความมุ่งมั่นที่หายไป มักไม่ใช่ต้นเหตุ แต่มักเป็น “ผลลัพธ์” ของปัญหาอื่น
ทีมแชมป์อาจร่วงเพราะ
นักเตะเจ็บต่อเนื่อง
ตัวใหม่เข้าระบบไม่ได้
คู่แข่งจับทางได้
ความตึงเครียดในห้องแต่งตัว
สภาพแวดล้อมในทีมเปลี่ยนไป
ความรู้สึกเชิงลบสะสมหลังแพ้ไม่กี่เกม
ความสัมพันธ์โค้ช-นักเตะเริ่มมีรอยร้าว
เขาเรียกว่า emotional contagion ความรู้สึกแพร่กระจายภายในทีมเมื่อบรรยากาศเสีย ทุกอย่างก็ไหลลงเหว
ปัญหาใหญ่ของฟุตบอล: แท็กติกอาจไม่สำคัญถ้าบรรยากาศทีมพัง
เพราะเมื่อทีมกำลังไปได้สวยแผนไหนก็เหมือนใช้ได้แต่เมื่อทีมเข้าสู่วงจรลบแผนไหนก็เหมือนใช้ไม่ได้เลย
ผู้จัดการทีมที่ยอดเยี่ยม เช่น เป๊ป หรือ คล็อปป์ ยังเคยหลงทาง
แต่ความพังทลายแบบ “มูรินโญ่ 2015-16” หรือ “คอนเต้ 2017-18” เกิดจากเรื่องนอกสนามมากกว่านั้น — ตั้งแต่ตลาดซื้อขายที่ไม่ตรงใจ จนถึงการเสียความเชื่อมั่นจากนักเตะ
กรณีของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้
บางคนบอกว่าพวกเขา “เสริมมากเกินไป” ซื้อ-ขายรวมกว่า 700 ล้านปอนด์ เปลี่ยนหน้าใหม่ทั้งทีม แถมยังเสียดิโอโก้ โชต้าไปอย่างไม่มีวันกลับ
ความสูญเสียนี้ไม่สามารถวัดผลด้วยสถิติได้ แต่มันสะเทือนจิตใจผู้เล่นอย่างมหาศาล นักกีฬาไม่ใช่หุ่นยนต์ และความโศกเศร้าโดยเฉพาะเหตุการณ์ระดับโศกนาฏกรรมสามารถเปลี่ยนจังหวะชีวิตและการทำงานของทีมทั้งทีมได้ทันที
ตอนนี้ ลิเวอร์พูลหล่นไปอยู่ที่ 8 และตามหลังจ่าฝูงถึง 8 แต้มหลังผ่าน 11 เกม เป็นผลงานที่มีเพียง 4 ทีมแชมป์ก่อนหน้านี้เท่านั้นที่เคยเริ่มได้แย่กว่า
ทำไมการป้องกันแชมป์ถึงยากขนาดนี้?
ตั้งแต่แมนฯ ยูไนเต็ด ปี 2009 มีแค่เป๊ป กวาร์ดิโอลา เท่านั้นที่เคยพาทีมป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ
ความกดดัน ความคาดหวัง และการถูกล่าจากทุกทีม ทำให้ต้นฤดูกาลเพียงไม่กี่สัปดาห์สามารถตัดสินชะตาทั้งปีได้ทันที
เมื่อโมเมนตัมแตก ความมั่นใจหาย ฟอร์มตกเป็นโดมิโน และความเชื่อในห้องแต่งตัวจะค่อย ๆ สลายไป
คำถามที่แท้จริงอาจไม่ใช่ “พวกเขายังหิวกระหายอยู่หรือเปล่า?”
แต่คือ…เมื่อทุกอย่างเริ่มพัง พวกเขาจะหาทางกลับมาได้ไหม?
เพราะชัยชนะต่อเนื่องในระดับสูงสุดคือสิ่งที่ยากที่สุดในกีฬาใด ๆ และสิ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ดยุคเฟอร์กี้ หรือแมนฯ ซิตี้ยุคเป๊ป ทำได้ คือการท้าทายความเป็นไปไม่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ลิเวอร์พูลฤดูกาลนี้ไม่ได้ล้มเหลวเพราะ “ความคิดแชมป์หายไป”
แต่เพราะพวกเขากำลังเจอปัญหาหลากหลายรุมเร้าแบบที่ทีมแชมป์หลายทีมเคยเจอและคำถามสำคัญคือชล็อต และลูกทีมจะพลิกกลับจากจุดนี้ได้อย่างไร?
บทความที่เกี่ยวข้อง