ไขข้อสงสัย : ทำไมทีมในลอนดอนถึงได้เปรียบทีมอื่นตอนเซ็นสัญญาแข้งต่างชาติเข้าพรีเมียร์ลีก?

Nopphasin Kulabburi

ไขข้อสงสัย : ทำไมทีมในลอนดอนถึงได้เปรียบทีมอื่นตอนเซ็นสัญญาแข้งต่างชาติเข้าพรีเมียร์ลีก? image

ในวันที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกถูกยกย่องว่าเป็นลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เสน่ห์ของมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสนาม แต่ยังรวมไปถึง “สถานที่” ที่นักฟุตบอลเหล่านั้นจะใช้ชีวิต

และในบรรดาเมืองทั้งหลายของอังกฤษ ไม่มีที่ไหนที่ชื่อเสียงและแรงดึงดูด “ใหญ่” ไปกว่าลอนดอนอีกแล้ว

เมืองหลวงที่ดึงดูดมากกว่าฟุตบอล

รายงานล่าสุดด้านเศรษฐกิจสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างระหว่าง “ลอนดอน” และเมืองอื่น ๆ ของประเทศ ค่าแรงในลอนดอนสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศถึง 33% และสูงกว่าที่เมืองเบิร์นลีย์ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือถึง 68%

ค่าครองชีพอาจสูงขึ้นตามมา แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือมาตรฐานชีวิตที่ดีกว่า โอกาสทำธุรกิจมากกว่า และความคึกคักที่หาไม่ได้จากเมืองเล็ก ๆ ของอังกฤษ

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แค่สะท้อนในแง่เศรษฐกิจ แต่มันยังสะท้อนถึงฟุตบอลด้วย

การย้ายศูนย์กลางสู่เมืองหลวง

นับตั้งแต่พรีเมียร์ลีกก่อตั้งในปี 1992 ภูมิศาสตร์ของลีกค่อย ๆ ขยับตัวลงใต้

ฤดูกาลที่ผ่านมา มีทีมจาก “ภาคเหนือ” ของอังกฤษในพรีเมียร์ลีกเพียง 5 ทีม ต่ำที่สุดตั้งแต่มีการรีแบรนด์ลีก ขณะเดียวกันมีถึง 7 ทีมจากลอนดอน และอีก 3 ทีมจากฝั่งใต้ (เซาแธมป์ตัน, บอร์นมัธ, ไบรท์ตัน) รวมแล้วครึ่งหนึ่งของลีกอยู่ใน “ลอนดอนและชายฝั่งใต้”

ย้อนกลับไปกว่า 100 ปีก่อน ฟุตบอลอังกฤษถือกำเนิดจากเมืองอุตสาหกรรมแถบมิดแลนด์และตอนเหนือ ทีม 12 ทีมแรกของลีกในปี 1888 ไม่มีทีมจากลอนดอนเลย จนกระทั่งปี 1904 อาร์เซน่อลจากวูลิช กลายเป็นสโมสรแรกในเมืองหลวงที่ได้เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด ตามมาด้วยเชลซี (1907) และสเปอร์ส (1909)

วันนี้ แผนที่ฟุตบอลเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ลอนดอนคือเมืองที่มีตัวแทนมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก และหลายสโมสรก็ก้าวขึ้นมาเป็น “ขาประจำ” ในลีกสูงสุดอย่างมั่นคง

“London or nothing” : ตัวเลือกของแข้งต่างชาติ

หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ “ตลาดซื้อขาย” เพราะพรีเมียร์ลีกทุกวันนี้ขับเคลื่อนด้วยนักเตะต่างชาติ

ฤดูกาล 1992-93 มีเพียง 13 คนจากนอกสหราชอาณาจักรย้ายเข้ามาเล่นในพรีเมียร์ลีก จากการเซ็นสัญญา 118 รายการ แต่ในซัมเมอร์ 2025 ตัวเลขนักเตะต่างชาติพุ่งขึ้นถึง 74% ของการเซ็นสัญญาทั้งหมด

และเมื่อพูดถึงต่างชาติ… คำว่า “ลอนดอน” มักโผล่ขึ้นมาในการเจรจาเสมอ

อดีตผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรนอกลอนดอนเล่าว่า

“เวลาคุยกับเอเยนต์ โดยเฉพาะนักเตะจากต่างแดน คุณจะได้ยินบ่อยมากว่า ‘เขาอยากไปทีมในลอนดอน’ สำหรับเด็กวัย 20 จากอเมริกาใต้หรือเอเชีย ในสายตาของพวกเขา ลอนดอนก็คือประเทศอังกฤษทั้งประเทศ”

สำหรับแข้งหนุ่มโสด แสงสีและไลฟ์สไตล์ในเมืองหลวงคือแรงดึงดูด แต่ถ้าเป็นนักเตะที่มีครอบครัว ก็อาจเลือกเมืองเงียบสงบกว่านี้

กระนั้น หากมีตัวเลือกใกล้เคียงกัน ระหว่างสโมสรที่อยู่ลอนดอนกับเมืองอื่น คำว่า “ลอนดอน” ก็มักจะเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจ

ผลลัพธ์ที่สะท้อนในสนาม

เมื่อได้เปรียบในการดึงดูดนักเตะ ย่อมส่งผลต่อผลงานของทีมเช่นกัน

  • อาร์เซน่อล มีค่าเฉลี่ยอันดับลีกที่ 3.88 นับตั้งแต่พรีเมียร์ลีกก่อตั้ง ดีกว่าค่าเฉลี่ยก่อนหน้านั้นที่ 7.3

  • เชลซี จากทีมกลางตารางในอดีต (อันดับเฉลี่ย 15.8) กลายเป็นทีมท็อป 4 เป็นประจำ และคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 5 สมัย

  • สเปอร์ส, เวสต์แฮม, ฟูแล่ม, คริสตัล พาเลซ, เบรนท์ฟอร์ด ต่างก็ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นทีมพรีเมียร์ลีกเต็มตัว

  • ขณะที่ ไบรท์ตัน ซึ่งห่างจากลอนดอนเพียงชั่วโมงเดียว ก็ก้าวสู่การเป็นทีมถาวรในลีกสูงสุดเช่นกัน

แน่นอนว่ายังมีข้อยกเว้น เช่น ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ที่หล่นไปอยู่แชมเปี้ยนชิพ แต่โดยรวมแล้ว “การอยู่ลอนดอน” ดูจะเป็นแต้มต่อในเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน

เงิน + เมือง = พลัง

ค่าครองชีพที่สูงทำให้ทุกอย่างแพงขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าบ้าน ค่าตั๋วเข้าชม ไปจนถึงรายได้สโมสร

  • ตั๋วปีแพงที่สุด 4 อันดับแรกในอังกฤษมาจากสโมสรในลอนดอนทั้งหมด (ฟูแล่ม, สเปอร์ส, อาร์เซน่อล, เวสต์แฮม)

  • 4 สโมสรในลอนดอนติดท็อป 17 ยุโรปด้านรายได้ (อาร์เซน่อล, เชลซี, สเปอร์ส, เวสต์แฮม)

ไม่แปลกที่ทุกทีมพยายาม “ขายความเป็นลอนดอน” ในแบรนด์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น CFC LDN ของเชลซี เพลง “North London Forever” ของอาร์เซน่อล หรือการที่เวสต์แฮมใส่คำว่า London ลงไปในตราสโมสรหลังย้ายเข้าสู่ลอนดอน สเตเดียม

เสียงจากแดนเหนือ

ตรงกันข้าม สโมสรที่อยู่ไกลออกไป เช่น นิวคาสเซิล มักเจออุปสรรคในตลาดนักเตะ

เจา เปโดร เลือกเชลซีแทนนิวคาสเซิลในซัมเมอร์นี้ ทั้งที่ “สาลิกาดง” ก็เป็นทีมที่กำลังเติบโต เพื่อนเก่าอย่างอิกอร์ ฮูลิโอถึงกับพูดว่า

“เขาพูดเสมอว่าอยากอยู่ลอนดอน ดังนั้นเขาจะเลือกข้อเสนอที่มาจากลอนดอนก่อน”

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนกลับไปถึงยุค เซอร์บ็อบบี้ ร็อบสัน หรือ เควิน คีแกน นิวคาสเซิลเคยต้องใช้สารพัดกลยุทธ์เพื่อโน้มน้าวนักเตะต่างชาติ โดยเฉพาะคนที่เข้าใจผิดว่า “นิวคาสเซิลเป็นส่วนหนึ่งของลอนดอน”

บทสรุป : ความจริงที่เลี่ยงไม่ได้

พรีเมียร์ลีกยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยมหาอำนาจจากแมนเชสเตอร์และลิเวอร์พูล แชมป์ส่วนใหญ่ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมายังไม่ได้อยู่ในลอนดอน แต่ทิศทางก็ชัดเจนว่า “การเปลี่ยนศูนย์กลาง” มุ่งลงใต้มากขึ้นทุกที

และตราบใดที่คำว่า “London” ยังเปล่งประกายในสายตาของนักเตะต่างชาติ เสียงของ นีล วอร์น็อค ก็คงยังสะท้อนความจริงได้ดีที่สุด

“We’re in London, that’s the f*****g difference.”

บทความที่เกี่ยวข้อง

Nopphasin Kulabburi

นักเขียน Sporting News Thailand ที่ติดตามทั้งกีฬาฟุตบอล, บาสเก็ตบอล รวมถึงแวดวงอีสปอร์ต