หลังจากหลายฤดูกาลที่พรีเมียร์ลีกเต็มไปด้วยสกอร์สูง แต่ปีนี้กลับรู้สึกว่าประตูกลายเป็นของหายากขึ้นมาเฉย ๆ
สัปดาห์ที่ 4 ของซีซั่น 2025/26 มีเพียง 19 ประตูจาก 10 เกม หรือเฉลี่ยไม่ถึง 2 ประตูต่อเกม (1.9) ถือเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดอันดับสองในรอบ 3 ฤดูกาล ทั้งที่เพิ่งผ่านหน้าต่างซัมเมอร์ที่มีการใช้เงินซื้อนักเตะรวมกันกว่า 3 พันล้านปอนด์ (4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของลีก
สองปีก่อน พรีเมียร์ลีกเพิ่งสร้างสถิติสูงสุดตลอดกาล ยิงรวมกัน 1,246 ประตู เฉลี่ย 3.28 ประตูต่อเกม แต่ปีนี้กลับเริ่มต้นด้วยค่าเฉลี่ยเพียง 2.34 ประตูต่อเกม หลังผ่าน 4 นัดแรก — ถือเป็นการเปิดซีซั่นที่ต่ำที่สุดในรอบทศวรรษ และเป็นการตกลงที่ชันที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
คำถามคือ นี่เป็นเพียง “อาการสะดุดช่วงต้นซีซั่น” หรือเรากำลังยืนอยู่หน้าประตูของ “ยุคใหม่ที่เน้นเกมรับ” กันแน่?
พรีเมียร์ลีกกำลังเข้าสู่ยุคทองของเกมรับ?
วงจรของการยิงประตูในพรีเมียร์ลีก
ถ้าไล่ดูสถิติยิงประตูต่อเกมย้อนหลัง 30 กว่าปี จะเห็นว่าสกอร์ในพรีเมียร์ลีกเคยแกว่งขึ้นลงเป็นรอบ ๆ เช่น
ยุคกลาง 2000s ที่ค่าเฉลี่ยดิ่งลงเหลือราว 2.45 ต่อเกม ส่วนหนึ่งเพราะอิทธิพลของ โชเซ มูรินโญ ที่พาเชลซีเล่นบอลเหนียวแน่น
จากนั้นค่าเฉลี่ยค่อย ๆ ไต่ขึ้นในยุค 2010s ก่อนระเบิดเป็นยุคสกอร์ถล่มทลายในฤดูกาล 2023/24
แต่ปีนี้ ตัวเลขกลับตกลงมาเหลือ 2.43 หากยังคงที่จนจบฤดูกาล จะถือเป็นการร่วงครั้งแรงที่สุดเท่าที่ลีกเคยมีมา
ตัวเลขที่ซ่อนอยู่หลังสกอร์
การยิงประตูที่ลดลงไม่ได้หมายความว่า “โอกาสหายไป” เพราะค่า xG (expected goals) ยังคงอยู่ในระดับปกติที่ 2.6 ต่อเกม
สิ่งที่เปลี่ยนคือ ประสิทธิภาพการจบสกอร์
จำนวนการยิงลดจาก 25 ครั้งต่อเกม เหลือ 22 ครั้ง
อัตราเปลี่ยนเป็นประตูลดลง
ระยะยิงเฉลี่ยยาวขึ้นเกิน 15 เมตร (จาก 14.9 เมตร)
ยิงเข้ากรอบเพียง 29% (ลดลงจาก 34%)
พูดง่าย ๆ คือ ทีมยังสร้างโอกาสได้ แต่คุณภาพของโอกาสแย่ลง และผู้เล่นก็จบไม่คมเหมือนก่อน
แท็กติกใหม่ที่กำลังบีบเกมรุก
เบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้ คือการปรับโครงสร้างแท็กติกที่เปลี่ยนหน้าตาของลีก
Rest defence แข็งขึ้น : กองกลางตัวรับถอยลงไปยืนระหว่างเซ็นเตอร์ (Lavolpiana role) เพื่อป้องกันเกมสวนกลับ
ฟูลแบ็กเติมสูง : เปิดพื้นที่ให้ริมเส้น แต่ปิดทางเข้าตรงกลาง ทำให้ทีมต้องยิงจากระยะไกลมากขึ้น
การเปิดเกมจากโกล : 52% ของการจ่ายเริ่มเกมจากผู้รักษาประตูเป็นบอลยาว (เพิ่มจาก 47%) เพื่อเลี่ยงการเสียบอลแดนหลังง่าย ๆ
เซ็ตพีซและทุ่มไกล ถูกใช้บ่อยขึ้นเพื่อหาทางลัด แต่ยังไม่สามารถทดแทนประตูที่หายไป
ผลลัพธ์คือ เกมที่ “คุมพื้นที่ได้ดีขึ้น แต่สร้างความวุ่นวายน้อยลง” และเมื่อความโกลาหลลดลง จำนวนประตูก็ลดตาม
โปรแกรมถี่ และแรงกดดันจากเวลา
ฤดูกาลนี้ทีมพรีเมียร์ลีกต้องเจอกับภาระที่หนักกว่าเดิม
ยูฟ่าเพิ่มรอบแบ่งกลุ่ม UCL/UEL/UECL เป็น 8 นัด
มี คลับเวิลด์คัพ 32 ทีม ในปี 2025
หลายทีมใหญ่ต้องเล่นสองเกมต่อสัปดาห์แทบตลอดทั้งปี
ในปี 2023/24 เราเคยเห็น “ประตูทดเจ็บ” ถึง 138 ลูก สูงสุดตลอดกาล เพราะเวลาการแข่งขันถูกยืด แต่ปีนี้ ความล้าเริ่มกดทับจนความเข้มข้นหายไป ส่งผลให้จังหวะผิดพลาดที่เคยสร้างประตูเริ่มหายตาม
แค่ดวงไม่ดี หรือสัญญาณของยุคใหม่?
หากมองเพียงสั้น ๆ มันอาจเป็นเพียงเรื่องของฟอร์มการจบสกอร์ที่ไม่เข้าที่ หรือความแปรปรวนของฟุตบอลช่วงต้นซีซั่น
แต่หากประกอบเข้ากับแนวทางแท็กติกที่ระวังความเสี่ยงมากขึ้น, ผู้รักษาประตูเน้นบอลยาว, เกมรุกถูกบีบพื้นที่, โปรแกรมถี่จนกุนซือต้องถอยเกมให้ปลอดภัยกว่าเดิม ทั้งหมดนี้กำลังชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า พรีเมียร์ลีกอาจกำลังเดินเข้าสู่ “ยุคทองของเกมรับ” อีกครั้ง
คำตอบสุดท้ายคงต้องรอดูว่า หลังผ่านครึ่งซีซั่นไปแล้ว ตัวเลขการยิงประตูจะกระเตื้องขึ้นหรือไม่ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ “ความยากในการยิงประตู” กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่สุดที่ทีมต้องเจอในพรีเมียร์ลีกเวลานี้
บทความที่เกี่ยวข้อง