หาก “หัตถ์พระเจ้า” ของ ดิเอโก มาราโดนา ถูกจารึกไว้เป็นตำนานในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก ฟุตบอลอาเซียนเองก็มีช่วงเวลาที่โดดเด่นไม่แพ้กัน นั่นคือ “ไหล่พระเจ้า” ของ รามู ซาซิกุมาร์
เมื่อกองหลังชาวสิงคโปร์รายนี้กลายเป็นฮีโร่ที่ไม่มีใครคาดคิดในการพาทัพ "เมอร์ไลออน" คว้าแชมป์อาเซียน คัพ มาครองได้เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากเขาทำประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศปี 1998 ที่พบกับ เวียดนาม ณ กรุงฮานอย
เรื่องราวในวันนั้นเป็นเช่นไรบ้าง? ติดตามได้ที่นี่
ไหล่ของ ซาซิกุมาร์
การแข่งขันอาเซียน คัพ นัดชิงชนะเลิศ ปี 1998 เป็นการพบกันระหว่างเจ้าภาพ เวียดนาม พบ สิงค์โปร์ โดยในนาทีที่ 71 ของการแข่งขัน กาดีร์ ยาฮายา ได้เปิดบอลเข้าไปในเขตโทษของเวียดนาม จากนั้น ซาซิกุมาร์ ก็กระโดดขึ้นกดดันผู้รักษาประตู ตรัน เตียน อันห์ ก่อนบอลจะกระดอนมาโดนไหล่ของเขาแล้วพุ่งเข้าประตูไปอย่างเหลือเชื่อ
ประตูที่แสนพิเศษนี้ช่วยให้ สิงคโปร์ คว้าแชมป์ฟุตบอลระดับนานาชาติรายการใหญ่ได้เป็นครั้งแรก และกลายเป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดในประวัติศาสตร์รายการอาเซียน คัพ
ชัยชนะในครั้งนั้นถือเป็นการวางรากฐานสำคัญที่ส่งให้ สิงคโปร์ ก้าวไปคว้าแชมป์อาเซียนเพิ่มได้อีก 3 สมัยในปี 2004, 2007 และ 2012 จนทำให้พวกเขากลายเป็นชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับสองในรายการนี้ เป็นรองเพียงแค่ "เจ้าแห่งอาเซียน" อย่าง ทีมชาติไทย เท่านั้น
Not many gave him a chance to make it as a footballer or as a businessman. But former Singapore footballer R. Sasikumar broke through the glass ceiling repeatedly to achieve his goals.
— Bluorbit (@Bluorbit) May 7, 2021
Hear his story on 7 May at 6PM on our Facebook and YouTube channel.#GoBeyond #GoBeyondSeries pic.twitter.com/FJzMGloliy
“ผมเกือบจะไม่ได้ไปร่วมทัวร์นาเมนต์นั้นแล้ว เพราะมีอาการบาดเจ็บรบกวนที่หัวเข่า” รามู ซาซิกุมาร์ ย้อนความหลังถึงการแข่งขันที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา
“ผมรู้ดีว่านี่คือโอกาสที่จะได้ลงเล่นเป็นตัวจริง เพราะตัวผมเองและเพื่อนร่วมทีมอีกหลายคนทำงานร่วมกับ แบร์รี วิตเบรด มาตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา และนี่ก็จะเป็นงานสุดท้ายของ แบร์รี ด้วย”
“ผู้เล่นกว่า 80 % ในทีมเล่นด้วยกันมานานถึง 3 ปี แบร์รี ไว้ใจพวกเรามาก เรามีผู้เล่นรุ่นใหญ่ไม่กี่คนที่เข้ามาเติมเต็มเรื่องประสบการณ์ คอยชี้แนะและเป็นผู้นำ ทีมชุดนั้นมีความสมดุลที่ดีมาก และมีสภาพร่างกายที่ฟิตสุด ๆ ตามสไตล์การทำทีมของ แบร์รี”
ชัยชนะที่น่าจดจำครั้งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงเชียร์ที่เนืองแน่นเต็มความจุของสนามหางเด่ย ถือเป็นการลบฝันร้ายหลังจากที่ทัพเมอร์ไลออน" ต้องตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างน่าผิดหวังในตอนที่ สิงคโปร์ เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งแรกเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านั้น
ในทัวร์นาเมนต์ที่ฮานอย ทีมชาติสิงคโปร์กำลังอยู่ในช่วงสร้างทีมใหม่หลังจากที่ผู้เล่นระดับตำนานอย่าง ฟานดี้ อาหมัด และ เดวิด ลี ประกาศแขวนสตั๊ดไป พวกเขาผ่านเข้ารอบเป็นที่หนึ่งของกลุ่มด้วยการเอาชนะ มาเลเซีย และ ลาว รวมถึงยันเสมอเจ้าภาพ เวียดนาม ไปแบบไร้สกอร์
จากนั้นพวกเขาหักด่านเอาชนะ อินโดนีเซีย ในรอบรองชนะเลิศมาได้ 2-1 จากประตูของ ราฟี อาลี และ นารี นาเซอร์ จนได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับเจ้าภาพ เวียดนาม และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ได้ถูกจารึกไว้อย่างหนักแน่นในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลอาเซียน
“ใคร ๆ ต่างก็คิดว่าปีนั้นต้องเป็นปีของ เวียดนาม แน่ ๆ เพราะพวกเขาต้องเจอกับทีมที่เป็นรองอย่างเราท่ามกลางแฟนบอล 50,000 คนในสนาม และอีกแสนกว่าคนข้างนอกนั่น” อดีตกองหลังสิงคโปร์เล่าถึงบรรยากาศก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศ
“พวกความพยายามทำให้เราไม่ได้หลับไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์บีบแตรส่งเสียงดังสนั่นอยู่หน้าโรงแรม แต่ทีมชุดนี้ที่ แบร์รี สร้างขึ้นมา มีความแข็งแกร่งทางจิตใจที่เหนือไปอีกระดับ”
“ในคืนนั้น ทันทีที่ก้าวเท้าลงสนาม เรารู้ดีว่านี่คือโอกาสทองที่จะได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ในฐานะทีมชาติสิงคโปร์ชุดแรกที่คว้าแชมป์ได้ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แต่พวกเราทุกคนรู้ว่ามันมีโอกาสอยู่ เราต่างเชื่อใจกันและกัน และเราคือทีมที่ดีจริง ๆ”
สิงคโปร์ เคยแสดงให้เห็นมาแล้วว่าพวกเขาสามารถสยบเกมรุกอันตรายของ เวียดนาม ได้ในการพบกันรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งจบลงด้วยการเสมอ 0-0 โดยในเกมนั้นสองกองหลังอย่าง ซาซิกุมาร์ และ ซูบรามานี สามารถตามประกบจนกองหน้าตัวเก่งอย่าง เหงียน ฮง เซิน และ เล ฮวีญ ดึ๊ก จนเล่นไม่ออกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เช่นเดียวกัน ในนัดชิงชนะเลิศ เกมยังคงเสมอกันแบบไร้สกอร์ จนกระทั่งเหลือเวลาอีกเพียง 19 นาที ช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึง
แนวรับของเวียดนามสกัดลูกเตะมุมออกมาได้ไม่ขาด บอลไปเข้าทางของ กาดีร์ ในขณะที่ ซาซิกุมาร์ ยังคงอยู่ในกรอบเขตโทษ ฟูลแบ็กรายนี้จึงตัดสินใจเปิดบอลเข้าไปในพื้นที่ว่างระหว่างเพื่อนร่วมทีมของเขากับผู้รักษาประตู เตียน อันห์
“ตอนที่ผมกำลังวิ่งเข้าหาผู้รักษาประตู ผมเหลือบไปเห็นว่าเขากำลังจ้องมาที่ผมมากกว่าจะมองที่ลูกบอล” ซาซิกุมาร์ เล่า “ผมเลยคิดในใจว่า ‘เอาละสิ เรามีโอกาสแล้ว’”
“ผมรู้เลยว่าเขาต้องกะเล่นผมให้หนักแน่ ๆ นี่คือโอกาสของเขาและเขาต้องพุ่งใส่ผมแน่ ผมเตรียมรับแรงกระแทกไว้แล้ว นั่นคือเหตุผลว่าทำไมตอนที่กระโดด ผมถึงบิดตัวและเงยหน้าขึ้นเพื่อพยายามป้องกันตัวเอง เพราะผมรู้ว่าเขาพุ่งเข้ามาหาผมแน่”
“เขาพยายามจะชกบอลและกระแทกผมไปพร้อมๆ กัน แต่เขาดันชกพลาด ผมสูงถึง 192 เซนติเมตร ยังไงบอลมันก็ต้องโดนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายผมนั่นแหละ แล้วมันก็ไปโดนไหล่ ซึ่งจริง ๆ มันจะกระดอนไปไหนก็ได้”
“แต่มันคือช่วงเวลาของผม มันถูกลิขิตไว้แล้วว่าผมต้องเป็นพระเอกในเกมนี้”
“ความคิดแรกของผมคือ มันต้องเป็นลูกฟาวล์แน่ ๆ ผู้ตัดสินต้องเป่าฟาวล์ชัวร์ แต่เพื่อนร่วมทีมบางคนรวมถึงตัวสำรองเริ่มดีใจกันบ้าคลั่งแล้ว”
“ผมหันไปมองแล้วเห็นผู้ตัดสินชี้ไปที่กลางสนาม วินาทีนั้นเองที่ผมรู้ว่าผมทำประตูได้แล้ว แต่หลังจากนั้นทุกอย่างมันขาวโพลนไปหมด ผมไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างอยู่พักหนึ่งเลยล่ะ!”
หลังจากนั้น ทีมชาติสิงคโปร์ ต้องพยายามรักษาสกอร์อย่างสุดความสามารถในช่วงเวลาที่เหลือ โดยมีผู้รักษาประตูอย่าง เรซาล ฮัสซัน ที่โชว์ฟอร์มหนึบจนคว้ารางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ไปครองในวันที่ทัพเมอร์ไลออน ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่
นับตั้งแต่นั้นมา ประตูนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตำนานที่ถูกเล่าขานในฟุตบอลระดับภูมิภาค และแม้ว่าหลายคนจะขนานนามมันว่า “ไหล่พระเจ้า” แต่ตัว ซาซิกุมาร์ เองกลับชอบชื่อที่ต่างออกไปเล็กน้อย
“ผมว่าคำว่า ‘สะบักพระเจ้า’ ฟังดูโดนใจกว่านะ ผมถึงขั้นเป็นเจ้าของชื่อโดเมนเนมนี้เลยล่ะ!” เขากล่าว “ตอนนี้ผมเป็นนักการตลาดแล้ว ในช่วงหนึ่งของชีวิต คนเรามักจะถูกจดจำจากเหตุการณ์บางอย่าง และนั่นคือช่วงเวลาของผม มันคือสิ่งที่ผมถูกกำหนดมาให้ทำ”
บทความที่เกี่ยวข้อง
อิคซาน-สจ๊วร์ต สองแข้งสิงคโปร์ ม่วนคักนั่งฟังเพลง ไมค์ ภิรมย์พร ขณะทำบาร์บีคิว
คมแต่เด็ก: ย้อนคลิป อิคซาน ฟานดี้ ทำเพอร์เฟคแฮตทริกใส่ ลิเวอร์พูล ชุดเยาวชน
แฟนบอลจีนยก อิคซาน ฟานดี้ กองหน้าที่เก่งที่สุดในโลกหลังยิงไทยร่วงคัดบอลโลก