ไขเคล็ดลับ : ทำไมโค้ชเยอรมันประสบความสำเร็จทั่วยุโรปในฟุตบอลยุคใหม่ ?

Maruak Tanniyom

ไขเคล็ดลับ : ทำไมโค้ชเยอรมันประสบความสำเร็จทั่วยุโรปในฟุตบอลยุคใหม่ ?  image

เยอร์เกน คล็อปป์, ฮันซี ฟลิค หรือ ยูเลียน นาเกลส์มันน์ คือเหล่าโค้ชที่ได้รับการยกย่องในฐานะกุนซือฝีมือดีของยุโรป และสิ่งที่พวกเขาเหมือนกันคือทั้งหมดคือชาวเยอรมัน 

ยิ่งไปกว่านั้น หากมองให้ลึกลงไปแล้ว กุนซือที่ประสบความสำเร็จหลายคนแม้ไม่มีเลือดดอยช์ แต่ก็มีต้นกำเนิดจากบุนเดสลีกา และ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ ของคริสตัล พาเลซ ก็คือตัวอย่างชั้นดี 

เหตุใดโค้ชจากชาตินี้ จึงได้รับความนิยมไปทั่วยุโรป หาคำตอบไปพร้อมกัน 

รากฐานดี 

หากจะพูดถึงความสำเร็จของโค้ชเยอรมัน อาจจะต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของพวกเขาก่อน เมื่อชนชาตินี้ ถือเป็นชาติแรกของโลก ที่มีการอบรมการเป็นโค้ชฟุตบอลอย่างจริงจัง มาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงไม่นาน 

ในปี 1947 พวกเขาก่อตั้งมหาวิทยาลัยกีฬาเยอรมันแห่งโคโลญจน์ (Deutsche Sporthochschule Köln, DSHS) ซึ่งเป็นสถานศึกษาด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาแห่งแรกของโลก และที่นี่ก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางในอบรมโค้ชฟุตบอลของผู้คนที่นี่ โดยมี เซปป์ แฮร์แบร์เกอร์ ที่ต่อมาพาเยอรมันตะวันตกคว้าแชมป์โลกในปี 1954 เป็นแกนกลาง

“ทันทีที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง เราก็ได้เริ่ม (บรรจุระบบการสอนด้านโค้ช) ลงไป” เอริช รุตมุลเลอร์ อดีตโค้ชชาวเยอรมัน กล่าวกับ ESPN 

“เซปป์ แฮร์แบร์เกอร์ ได้จัดสัมนาของครูฟุตบอลขึ้นครั้งแรกในปี 1948 ดังนั้นน่าสนใจว่าพัฒนาการของมันยาวนานแค่ไหน เราคือผู้บุกเบิกในยุโรปอย่างแน่นอน” 

หลังจากนั้น เยอรมัน ก็สร้างโค้ชสู่ระบบฟุตบอลอย่างมากมาย เนื่องจากการเข้าอบรมเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่าย และทำให้พวกเขาเป็นชาติที่มีโค้ชที่มีใบอนุญาตมากเป็นลำดับต้นๆของโลก

ตัดภาพมาในยุคปัจจุบัน ด้วยโลกฟุตบอลที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้หลักสูตรฟุตบอลของเยอรมัน ไม่ได้โฟกัสแค่เรื่องในสนามเท่านั้น แต่ยังเตรียมความพร้อมให้กับโค้ชรุ่นใหม่ ซึ่งรวมไปถึงการฝึกซ้อมรับมือกับสื่อ และการพูดในที่สาธารณะ 

“การพัฒนาภายในวัฒนธรรมฟุตบอลเกิดขึ้นที่นั่น ผมรู้ว่าในยุคที่ผ่านมา โลกมักจะมองฟุตบอลเยอรมันว่าอืดอาด หรือเน้นประโยชน์ แต่นั่นไม่ใช่มุมมองที่ผมเติบโตมาในยุคของ คล็อปป์” สเตเฟน รัสเซลล์ นักวิจัยปริญญาเอกแห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ อธิบาย 

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น

ให้โอกาสโค้ชอายุน้อย  

แม้ว่าการเป็นโค้ช นอกจากความสามารถแล้ว ยังต้องมีบารมีในการจัดการนักเตะ จึงทำให้อดีตนักฟุตบอลชื่อดังที่มาจับงานเป็นกุนซือมีแต้มต่อในเรื่องนี้ แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีต โดยเฉพาะกับฟุตบอลเยอรมัน 

เนื่องจากในปัจจุบัน การที่จะเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยม อาจไม่จำเป็นต้องเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมาก่อน หรือบางคนอาจจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอาชีพด้วยซ้ำ 

และผู้ที่มาเปลี่ยนแปลงมุมมองนี้ก็คือ เยอร์เกน คล็อปป์ ที่เริ่มต้นด้วยการคุม ไมนซ์ 05 หลังแขวนสตั๊ด ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์การเป็นโค้ชมาก่อน แต่สามารถพาทีมขึ้นไปเล่นในบุนเดสลีกาได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรในฤดูกาล 2003/04 

แต่นั่นไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ คล็อปป์ โชว์ฝีมือให้โลกได้เห็น เมื่อเขาพา ไมนซ์ ทีมที่มีสนามที่เล็กที่สุดในบุนเดสลีกา และงบประมาณที่จำกัด ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอล ยูฟ่า คัพ 

ผลงานอันยอดเยี่ยม ทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นเฮดโค้ชโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในปี 2008 และพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัย ก่อนจะมาประสบความสำเร็จอีกครั้งกับ ลิเวอร์พูล ด้วยตำแหน่งแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และพรีเมียร์ลีกอีกอย่างละสมัย 

ก่อนที่เขาจะเป็นผู้เบิกทางที่ทำให้โค้ชยาวเยอรมัน  หรือจากบุนเดสลีกา เข้ามาสร้างชื่อในฟุตบอลอังกฤษ อย่างมากมาย ฟาเบียน เฮอร์เซเลอร์ ของไบรท์ตัน, ดาเนียล ฟาร์เคอ ของ ลีดส์ ยูไนเต็ด หรือ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ ที่เพิ่งพา คริสตัล พาเลซ คว้าแชมป์เอฟเอคัพ เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา

“เมื่อเราพูดถึงโค้ชชาวเยอรมันที่มีอิทธิพลอังกฤษ เราต้องพูดถึง เยอร์เกน คล็อปป์ จากทักษะส่วนตัว รวมถึงทักษะในการสื่อสาร การพูดจา และความฉลาดด้านฟุตบอลของเขา ทำให้เขาเป็นผู้บุกเบิก” เอริช รุตโมลเลอร์ อดีตโค้ชชาวเยอรมัน กล่าว 

นอกจากนี้ ยูเลียน นาเกลส์มันน์ ก็อีกเป็นหนึ่งในตัวอย่างชั้นดี เมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นเฮดโค้ชของ ฮอฟเฟนไฮม์ ในบุนเดสลีกา ด้วยวัยเพียง 28 ปี และกลายเป็นโค้ชที่อายุน้อยสุดในบุนเดสลีกา 

3 ปีหลังจากนั้น นาเกลส์มันน์ ได้ย้ายไปคุม แอร์เบ ไลป์ซิก และทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ด้วยการพาทีมเข้าถึง รอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และได้รองแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล จนถูก บาเยิร์น มิวนิค ดึงตัวไป ก่อนจะได้เป็นเฮดโค้ชทีมชาติเยอรมัน ในเวลาต่อมา 
  
“พวกเขาเป็นมืออาชีพที่แยกจากกัน นักเตะและโค้ช” รุตโมลเลอร์ กล่าว 

“บางคนอาจจะทำได้ดีทั้งคู่ แต่ผมแน่ใจว่า ซาบี อลองโซ จะต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการศึกษาหาความรู้ และพยายามที่จะได้ไลเซนส์ และเรียนรู้มากกว่าความรู้สมัยนักเตะอย่างแน่นอน” 

เครือข่ายองค์ความรู้

ในทางทฤษฏี ทีมสำรอง หรือทีมเยาวชน ที่ส่วนใหญ่จะมีอายุไม่เกิน 21 หรือ 23 ปี มักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเยาวชน แต่สำหรับชาวเยอรมัน มันมีความหมายกว่านั้น 

เนื่องจากทีมสำรองในบุนเดสลีกา ได้กลายเป็นเวทีในการแสดงฝีมือของโค้ชรุ่นใหม่ ก่อนที่เลื่อนไปคุมทีมชุดใหญ่ เพราะทีมเหล่านี้ จะต้องลงแข่งในการแข่งขันจริง ที่อาจจะเป็น ดิวิชั่น 3 หรือ 4 ในพิรามิดฟุตบอลของเยอรมัน

ยกตัวอย่างเช่น เดวิด วาร์กเนอร์ เฮดโค้ชของ นอริช และ ดาเนียล ฟาร์เคอ ก็ล้วนเคยผ่านงานการเป็นเฮดโค้ชในทีมสำรองของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ หรือ โธมัส ทูเคิล กุนซือทีมชาติอังกฤษ ก็เคยผ่านงานการเป็นโค้ชเยาวชนในทีม สตุ๊ตการ์ท 

“ผมคิดว่าฟุตบอลเยอรมัน เป็นเหมือนผืนผ้าใบที่ดีที่ทำให้คุณได้แสดงความสามารถ หากอยากจะย้ายไปคุมทีมในอังกฤษ” รัสเซลล์ กล่าว

“สไตล์มันใกล้เคียงกว่าลีกอื่นใน 5 ลีกใหญ่ (ในยุโรป) เนื่องจากมันต้องการความสามารถด้านพละกำลังกว่าปกติ มันจึงง่ายที่จะย้ายไปอังกฤษ” 

ทั้งนี้ ทีมเยาวชนไม่ได้เป็นแหล่งสะสมประสบการณ์เท่านั้น แต่ลึกลงไปมันยังเป็นเครือข่ายที่เหนียวแน่นในการแบ่งปันองค์ความรู้ของพวกเขาอีกด้วย 

กล่าวคือเหล่าโค้ชเยอรมัน ที่เฉิดฉายอยู่ในยุโรปในยุคปัจจุบัน ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับอีกคน ไม่ว่าจะทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็น วาร์กเนอร์ ที่เป็นเฮดโค้ชสำรอง ตอนที่ คล็อปป์ คุมทีมชุดใหญ่ ดอร์ทมุนด์ หรือ ทูเคิล ที่เป็นโค้ชเยาวชน สมัยที่ ราล์ฟ รังนิค คุม สตุ๊ตการ์ต

หรือแม้แต่ นาเกลส์มันน์ ก็เคยเป็นลูกทีมของ ทูเคิล สมัยคุมทีมสำรอง เอาส์บวร์ก ก่อนที่ต่อมา เขาจะกลายเป็นหนึ่งในแมวมองของ ทูเคิล จากนั้นจึงเปลี่ยนสายมาเป็นโค้ชในเวลาต่อมา 

เช่นกันสำหรับ ฮันซี ฟลิค ที่แม้ไม่ได้เริ่มต้นจากเยาวชน แต่ก็เป็นหนึ่งในทีมงาน ทั้งทีมชาติเยอรมัน ของ โจอาคิม เลิฟ และ ผู้ช่วยผู้จัดการทีม บาเยิร์น ของ นิโก โควัช ก่อนจะได้คุมทีมชุดใหญ่ ของทั้งสองทีมในเวลาต่อมา 

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงเครือข่าย ที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาไปทั้งระบบของพวกเขา และทำให้โค้ชจากเยอรมัน เป็นที่ยอมรับในระดับสูงในปัจจุบัน 

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการพิสูจน์ให้เห็นว่า การศึกษาคือรากฐานที่สำคัญ พร้อมกับยืนยันว่าบางทีชื่อเสียงสมัยเป็นนักเตะอาจไม่สำคัญองค์ความรู้ที่มี และนี่ก็คือโลกฟุตบอลยุคใหม่ 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Maruak Tanniyom

ลีดส์ ยูไนเต็ด, ญี่ปุ่น, มังงะ