ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน “สมันน้อย” คือคำจำกัดความของหมู่เกาะแฟโร เมื่อพวกเขาเอาชนะคู่แข่งได้เพียงแค่ 9 เกมจาก 102 เกม และแพ้ไปถึง 85 เกม รวมถึงเสียไป 291 ประตู ในฟุตบอลโลก และ ยูโร รอบคัดเลือก ในช่วงปี 1990-2010
ทว่า ตอนนี้ ชาติที่มีประชากรแค่ 55,000 คน และเคยแพ้ทีมชาติไทย เมื่อปี 2013 กำลังมีลุ้นไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
พวกเขาทำได้อย่างไร? ติดตามไปพร้อมกัน
สมันน้อยแห่งยุโรป
ท่ามกลางความเวิ้งว้างของมหาสมุทรแอตแลนติก ไกลออกไปทางตอนเหนือระหว่าง สก็อตแลนด์ ไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์ มีหมู่เกาะที่ภูมิประเทศส่วนใหญ่มีความขรุขระตั้งอยู่ และพื้นที่แห่งนี้ก็เป็นที่รู้จักในชื่อ “หมู่เกาะแฟโร”
ด้วยความที่เป็นหมู่เกาะที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทำให้กว่าที่ฟุตบอลของพวกเขาจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างก็ต้องรอจนถึงทศวรรษที่ 1970s หลังเริ่มมีการจัดการแข่งขันในระดับเยาวชน ที่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ
มันเป็นยุคที่วิทยุ และต่อมาก็เป็นโทรทัศน์ เริ่มเข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้และเชื่อมต่อโลกภายนอกกับชาวหมู่เกาะแฟโร รวมไปถึงทีวีผ่านดาวเทียม ที่ได้รับความนิยมในทศวรรษที่ 1980s ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาด้านฟุตบอลในหมู่เกาะที่ห่างไกลแห่งนี้
จนกระทั่งในปี 1979 พวกเขาก็ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลหมู่เกาะแฟโรอย่างเป็นทางการ และได้เป็นสมาชิกของฟีฟ่าและ ฟีฟ่า และ ยูฟ่า ในปี 1988 และ 1990 ตามลำดับ
ตอนนั้นอนาคตของหมู่เกาะแฟโร ดูจะสดใส เพราะนอกจากประเดิมสนามอย่างเป็นทางการ ด้วยการเอาชนะ แคนาดา ไปได้ 1-0 แล้ว พวกเขายังคว้าแชมป์ไอส์แลนด์คัพ ทัวร์นาเมนต์ของประเทศเกาะ ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสมาชิกของฟีฟ่า 2 สมัย
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเหมือนภาพลวงตาเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นที่รู้จักจาก “ปาฏิหาริย์แห่งแลนด์สโครนา” ที่เอาชนะ ออสเตรีย ไปได้ 1-0 ในยูโร 1992 รอบคัดเลือก แต่หลังจากนั้นความปราชัยก็แวะเวียนมาหาพวกเขาอย่างไม่ขาดสาย
หมู่เกาะแฟโร กลายเป็นทีมแจกแต้มในระดับนานาชาติ เมื่อตลอดการลงสนาม 48 เกม ในรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก และ ยูโร ในช่วงปี 1990-2000 พวกเขาเผชิญกับความพ่ายแพ้ไปถึง 39 เกม และเสียไปถึง 147 ประตู

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ไม่เคยดีขึ้น จนทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่หลายทีมอยากเจอในรอบคัดเลือก หลังเอาชนะคู่แข่งได้เพียงแค่ 4 นัด และแพ้ไปถึง 46 นัดในอีก 10 ปีต่อจากนั้น ก่อนจะแพ้ไปอีก 46 เกมจากการลงเล่น 64 เกมในช่วงปี 2010-2020 จนได้รับฉายาว่า “สมันน้อย”
อันที่จริง ทีมชาติไทย ก็เคยลิ้มรสความรู้สึกนี้เช่นกัน หลังทีมชุดซีเกมส์ (U23) เป็นเอาชนะหมู่เกาะแฟโรไปได้ 2-0 ในฟุตบอลนัดอุ่นเครื่องเมื่อปี 2013
อย่างไรก็ดี ผ่านมาแค่ 10 กว่าปีนับตั้งแต่นั้น พวกเขากำลังมีลุ้นจะไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
แรงกระตุ้นจากทั้งภายในและภายนอก
มันคือค่ำคืนที่ชาวหมู่เกาะแฟโร ฉลองกันทั้งประเทศ หลังจากสร้างเซอร์ไพรส์ ถล่ม มอนเตเนโกร ไปถึง 4-0 ในเกมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก นัดที่ 6 พวกเขาก็พลิกล็อคเอาชนะ เช็ค ไปได้ 2-1 ในนัดต่อมา
จากผลนัดนี้ทำให้ หมู่เกาะแฟโร คว้าชัยเป็นนัดที่ 3 ติดต่อกัน และทำให้ความหวังในการไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายเป็นครั้งแรก ถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้ง หลังทำแต้มไล่จี้อันดับ 2 ของกลุ่ม ที่จะได้สิทธิ์ไปเพลย์ออฟ เหลือเพียงแค่ 1 คะแนน และเหลือการแข่งขันอีกเพียงนัดเดียว
อะไรที่ทำให้พวกเขามาไกลขนาดนี้?
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่าน อาจจะต้องย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 2000s เมื่อรัฐบาลได้ลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับกีฬา รวมไปถึงการสร้างสนามฟุตบอลขึ้นมาใหม่
ขณะเดียวกัน หมู่เกาะแฟโร ยังได้ปรับปรุง ทอร์สโวลเลอร์ รังเหย้าขนาดความจุ 6,500 คนของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่ติดตั้งไฟสนาม ปรับปรุงที่นั่ง ไปจนถึงเปลี่ยนพื้นสนามจากหญ้าจริงมาเป็นหญ้าเทียมในปี 2012

นอกจากนี้ ในปี 2006 พวกเขายังเดินหน้าในการพัฒนาเยาวชนอย่างเต็มตัว ด้วยการก่อตั้งทีมรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี หลังจากก่อนหน้านี้มีเพียงชุด U17 และ U19 เท่านั้น ก่อนที่มันจะกลายเป็นเวทีในการป้อนผู้เล่นขึ้นสู่ชุดใหญ่ทั้งในสโมสรและทีมชาติในเวลาต่อมา
“ผมต้องบอกว่าการมีทีม U21 (ก่อตั้งในปี 2006) มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนานี้” แอสยอร์น นีลส์เซน แนตเตแซนด์ บอร์ดบริหารของ อันดริโอ เอฟเอฟ สโมสรในลีกรองของหมู่เกาะแฟโรอธิบาย
“ตอนนี้นักเตะส่วนใหญ่ของเรามาจากทีมเยาวชน ซึ่งทำให้พวกเขามีประสบการณ์และได้รับการฝึกซ้อมที่เหมาะสมมากขึ้น”
แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการออกไปเล่นในต่างแดน เพราะแม้ว่าหมู่เกาะแฟโร จะเป็นชาติที่มีนักฟุตบอลหากคิดเป็นสัดส่วนมากเป็นอันดับต้นๆของโลก ด้วยจำนวนนักเตะที่ลงทะเบียนกว่า 5,000 คน จาก ประชากร 55,000 คน หรือเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศ แต่ลีกในประเทศก็เป็นเพียงลีกสมัครเล่นเท่านั้น
“ผมคิดว่าความสำเร็จที่ต่อเนื่องของเรา มาจากผู้เล่นชุดปัจจุบันทำได้ดีในอาชีพของตัวเอง” โจฮาน เฮนต์ซ แฟนพันธ์แท้ที่ตามไปเชียร์ทีมชาติหมู่เกาะแฟโรทั้งในและนอกบ้านกล่าว
“ช่วงเริ่มแรก เรามีแค่นักเตะสมัครเล่นจริงๆ แต่มันก็เปลี่ยนไปอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น โทดี จอนส์สัน นักเตะที่เก่งที่สุดของเรา ได้เข้าไปอยู่ในหอเกียรติยศ ของ เอฟซี โคเปนเฮเกน”
“ทุกวันนี้เราจีงเห็นนักเตะดาวรุ่งบางส่วนออกจากหมู่เกาะแฟโร เพื่อไล่ตามความฝันในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ”

เช่นกันกับ อายดุน ทรูกวาสัน ชาวหมู่เกาะแฟโร ที่เป็นแฟนลิเวอร์พูล และ เอนเอสไอ รูวานิค ที่บอกว่า “เนื่องจากฟุตบอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากในแฟโร เกือบทุกคนจึงเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นพรสวรรค์ทุกอย่างที่เรามีจึงถูกหยิบยกขึ้นมา”
“ที่นี่เราทุ่มเวลา พลังงาน และทรัพยากรมากมายไปกับฟุตบอล มีทั้งงานที่ได้รับค่าจ้าง และอาสาสมัคร”
“ช่วงหลังนักเตะแฟโรเก่งๆ ได้เซ็นสัญญาอาชีพกับทีมในเดนมาร์ก, นอร์เวย์, เยอรมัน และ ไอซ์แลนด์ และแน่นอนมันช่วยยกระดับทีมชาติของเราให้สูงขึ้น”
ยิ่งไปกว่านั้น การปรับเปลี่ยนให้แชมป์ลีกหมู่เกาะแฟโร ได้สิทธิ์เข้ามาเล่นใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก บวกกับรูปแบบการแข่งขันใหม่ในทีมชาติอย่าง เนชั่นส์ลีก ยังทำให้พวกเขามีโอกาสได้ทดสอบฝีเท้าของตัวเองมากขึ้น
“เนชั่นส์ลีกเปลี่ยนไป เพราะว่าก่อนหน้านี้มันเป็นเกมกระชับมิตร แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เราจึงได้ลงเล่น 6-8 เกมในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แถมยังได้เล่นกับทีมที่อยู่ในระดับเดียวกันซึ่งสิ่งนี้สำคัญมาก” ทรอนเดอร์ อาเก้ นักข่าวชาวหมู่เกาะแฟโรกล่าว
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหมือนทั้งแรงกระตุ้น และแรงบันดาลใจที่ทำให้ประเทศเล็กๆแห่งนี้ มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง จนสามารถลบคำสบประมาทจากฉายาสมันน้อย มาเป็นทีมที่กำลังมีลุ้นไปโชว์ฝีเท้าในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย