สก็อตต์ คาร์สัน : ผู้รักษาประตูงานสบาย รายได้ดีที่สุดในโลก

Maruak Tanniyom

สก็อตต์ คาร์สัน : ผู้รักษาประตูงานสบาย รายได้ดีที่สุดในโลก image

11 แชมป์จาก 6 ฤดูกาล อาจจะเป็นความสำเร็จที่ยากสำหรับนักเตะธรรมดาที่จะเอื้อมถึง แต่ไม่ใช่สำหรับ สก็อตต์ คาร์สัน ผู้รักษาประตูจอมอดทนของ แมนฯ ซิตี้ 

เพราะนอกจากจะคว้าแชมป์ได้อย่างมากมายแล้ว เขายังเป็นผู้รักษาประตูที่งานสบายรายได้ดีที่สุดในโลก เมื่อรับทรัพย์ไปถึง 8.5 ล้านปอนด์ จากการลงเล่นแค่ 2 เกม 

อะไรคือเคล็ดลับ ที่ทำให้ คาร์สัน สามารถค้าแข้งได้อย่างยาวนานในถิ่น เอติฮัด สเตเดียม โดยที่ไม่จำเป็นต้องถูกใช้งานมากนัก ? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน 

อดีตโกลดาวโรจน์

อันที่จริง ก่อนจะมาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ สก็อต คาร์สัน ก็มีเส้นทางค้าแข้งที่เรียกว่าล้มลุกคลุกคลานคนหนึ่งของลีกอังกฤษ นับตั้งแต่ขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ของลีดส์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่อายุเพียง 18 ปี 

เพราะหลังจาก ลีดส์ ตกชั้นลงไปเล่นในเดอะ แชมเปียนชิพ หลังจบฤดูกาล 2003/04 เขาก็กลายเป็นผู้รักษาประตูเนื้อหอม ที่หลายทีมสนใจ แต่สุดท้ายกลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ได้ตัวไปในช่วงตลาดหน้าหนาวมกราคม 2004 ด้วยค่าตัว 750,000 ปอนด์ 

การย้ายมา ลิเวอร์พูล กลายเป็นก้าวกระโดดสำคัญของชีวิต เมื่อเขาได้รับโอกาสประเดิมสนามทั้งในพรีเมียร์ลีก และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รวมทั้งมีชื่อเป็น 1 ใน 23 คนสุดท้ายของทีมชาติอังกฤษ ชุดลุยฟุตบอลโลก 2006 แม้จะไม่ได้สัมผัสเกมแม้แต่นาทีเดียวก็ตาม 

จนกระทั่งในฤดูกาล 2006/07 ก็เป็นปีที่ คาร์สัน ได้เฉิดฉายอย่างแท้จริง เมื่อถูกปล่อยให้ ชาร์ลตัน แอธเลติก ที่ตอนนั้นเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ยืมตัวไปใช้งาน แม้สุดท้าย จะไม่สามารถช่วยให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้น แต่เขาก็โชว์ฟอร์มเซฟอุตลุต จนได้รับการโหวตเป็นนักเตะแห่งปีของสโมสร และเป็นนักเตะยืมตัวคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลนี้ 

ผลงานดังกล่าว ทำให้ฤดูกาลต่อมา แอสตัน วิลลา ขอยืมตัวไปใช้งานในฤดูกาลต่อมา และคาร์สัน ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อช่วยให้ทีมรักษาคลีนชีทถึง 11 และจบในอันดับ 6 ของตาราง อีกทั้งยังทำให้เขาได้ประเดิมสนามให้ทีมชาติอังกฤษในช่วงเวลานี้ 

ตอนนั้น คาร์สัน มองว่าหากอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อไปคงจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี เพราะหงส์แดงไม่มีท่าทีที่จะใช้งานเขาเลย แม้จะทำผลงานตอนถูกปล่อยยืมได้ดีขนาดนี้ ทำให้ในฤดูกาล 2007/08 เขาตัดสินใจย้ายไปเล่นกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ด้วยค่าตัว 3.25 ล้านปอนด์ 

และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ราวรถไฟเหาะ เมื่อเขาต้องเผชิญกับการตกชั้นตั้งแต่ฤดูกาลแรกกับ เวสต์บรอม แต่ก็เลื่อนชั้นกลับมาได้ทันทีในฤดูกาลต่อมา ทว่าหลังจากนั้น เขาก็ย้ายไปหาความท้าทายกับ บูร์ซาสปอร์ ในลีกตุรกี 

ที่ ตุรกี คาร์สัน กลายเป็นผู้รักษาประตูมือดีของลีก เมื่อเสียไปเพียง 35 ประตูจาก 34 เกมในลีกตุรกี รวมถึงยังช่วยให้ทีมคว้ารองแชมป์ เตอร์กิช คัพ ก่อนที่ฤดูกาลต่อมา เขาจะพา บูร์ซาสปอร์ คว้าอันดับ 4 ของลีก และได้สิทธิ์ไปเล่นในยูโรปาลีกได้สำเร็จ 

แต่เขาก็ไม่ได้ทันได้เล่นฟุตบอลยุโรป หลังตัดสินใจกลับมาค้าแข้งในลีกอังกฤษ กับ วีแกน แอธเลติก ทว่าหลังทีมตกชั้น เขาก็ย้ายไปเล่นให้ ดาร์บี้ เคาน์ตี ในฤดูกาล 2016/17 

ที่ดาร์บี้ ดูจะเป็นที่ที่ คาร์สัน อยู่ได้นานที่สุด หลังเล่นให้ทีมถึง 4 ปีเต็ม แถมยังได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสรในฤดูกาล 2016/17 

จนกระทั่งในปี 2019 สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มี เป๊บ กวาร์ดิโอลา เป็นกุนซือดึงตัวเขาไปร่วมทีม ด้วยค่ายืมสูงถึง 500,000 ปอนด์ สำหรับโกลที่อายุ 34 ปีแล้ว 

และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการเป็นโกลที่งานสบายที่สุดในโลก 

เซฟละ 3 ล้านปอนด์ 

แน่นอนว่าการมาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ ของ คาร์สัน ไม่ได้มาในฐานตัวเลือกแรก แต่เป็นผู้รักษาประตูมือ 3 รองมาจาก เอแดร์ซอน และ เคลาดิโอ บราโว  

แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังถูกยืมตัวต่อในปีต่อมา ก่อนจะเซ็นสัญญามาอยู่กับ เรือใบสีฟ้า เป็นการถาวรในฤดูกาล 2021/22 พร้อมรับค่าเหนื่อยราว 30,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ 

มันอาจจะไม่ได้ดูมากมาย หากเทียบกับพวกค่าเหนื่อยเหยียบแสนของ แมนฯซิตี้ แต่หากเทียบกับนาทีที่ลงเล่น และผลงานก็สามารถได้ว่านี่คือหนึ่งในงานสบายรายได้ดีที่สุดในโลก 

เพราะตลอด 6 ปีในถิ่น เอติฮัด สเตเดียม คาร์สัน ลงเล่นให้ แมนฯ ซิตี้ ไปแค่ 2 นัด รวม 107 นาที แต่ก็รับทรัพย์จากค่าเหนื่อยรวมกันไปถึง 8.5 ล้านปอนด์ หรือนัดละ 4.25 ล้านปอนด์ 

โดยนัดแรกกับ เรือใบสีฟ้า เกิดขึ้นในฤดูกาล 2020/21 ที่อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษ ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในศึกพรีเมียร์ลีกพบกับ นิวคาสเซิล ก่อนจะเสียไป 3 ประตู และทำไป 1 เซฟ ในเกมที่ต้นสังกัดเอาชนะไปได้ 4-3 

ส่วนอีกเกม เกิดขึ้นในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2021/22 ที่ คาร์สัน ถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทน เอแดร์ซอน ในนาทีที่ 73 ก่อนจะทำไป 2 เซฟ รักษาคลีทชีทไว้ได้สำเร็จ 

และเมื่อเอาสถิติมากางดูจะพบว่า ในการเซฟแต่ละครั้งของ คาร์สัน มีมูลค่าสูงถึง 2.8 ล้านปอนด์ ต่อการป้องกันประตูในแต่ละครั้ง และนี่อาจจะเป็นมูลค่าการเซฟที่แพงที่สุดในโลก 

เช่นกันกับการสัมผัสบอล เมื่อตลอด 107 นาทีที่ลงสนาม อดีตเด็กปั้นของ ลีดส์ มีโอกาสสัมผัสบอลไปทั้งสิ้น 24 ครั้ง หรือคิดเป็น 354,000 ปอนด์ต่อครั้ง

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความสำเร็จที่ได้รับ แม้ คาร์สัน จะไม่ได้ถูกใช้งานมากนัก แต่เขาก็สามารถคว้าโทรฟีมานอนกอดได้ถึง 11 ใบ ได้แก่ พรีเมียร์ลีก 4 สมัย, แชมเปียนส์ลีก 1 สมัย, ลีกคัพ 2 สมัย, คอมมูนิตี้ ชิลด์ 2 สมัย ฟุตบอลสโมสรโลก และ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ อย่างละ 1 สมัย 

มองอย่างผิวเผิน เขาอาจจะเป็นผู้รักษาประตูที่ไม่คุ้มค่าเหนื่อยเลย แต่ไม่ใช่สำหรับ กวาร์ดิโอลา ที่ยืนยันว่าต้องมีเขาอยู่ในทีม 

“ผมโชดดีมากที่ได้รู้จักเขาที่แมนเชสเตอร์ บางครั้งในฐานะผู้จัดการทีม คุณต้องมีโอกาสได้รู้จักคนแบบเขา” กวาร์ดิโอลา กล่าว

“เขาเป็นเหมือนกัปตัน เป็นที่รักมากในทีม ผมแน่ใจว่าเมื่อเราต้องการเขา เขาจะตอบสนองให้เราได้” 

เพราะ คาร์สัน ไม่ได้มีบทบาทในฐานะตัวสำรองเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้แก่ทีม ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่นักเตะรุ่นน้องได้อีกด้วย 
 
“คำแนะนำที่ดีที่สุดที่ผมให้กับนักเตะดาวรุ่ง คือให้อยู่ใกล้ๆ สก็อตต์ คาร์สัน ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งในห้องแต่งตัวและในสนาม” เป๊บอธิบาย 

“มันดีกว่าอยู่กับผม ถ้าพวกเขาได้ใช้เวลามาก (กับเขา) ฟังและให้ความสนใจเขา นั่นจะเป็นคำแนะนำและการเรียนรู้ที่ดีที่สุดที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต” 

“ทุกวินาทีที่เขาลงซ้อม และทุกนาทีที่ได้ลงสนาม รวมถึงในห้องแต่งตัว ล้วนมีคุณค่า” 

“มันเหมือนกับนักแสดงรุ่นเยาว์ ได้อยู่กับนักแสดงมือเก๋าในฉากเดียวกัน พวกเขาจะฉลาดขึ้น และได้เห็นคุณค่าของความเป็นมืออาชีพ” 

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถค้าแข้งกับแมนฯ ซิตี้ มาอย่างยาวนานถึง 6 ปี

บทความที่เกี่ยวข้อง

Maruak Tanniyom

ลีดส์ ยูไนเต็ด, ญี่ปุ่น, มังงะ