ย้อนที่มาประโยคอมตะ "ฟุตบอลตายแล้ว" และทำไมถึงเราไม่ต้องกังวลว่ามันกำลังตาย?

Guy Tanapon

ย้อนที่มาประโยคอมตะ "ฟุตบอลตายแล้ว" และทำไมถึงเราไม่ต้องกังวลว่ามันกำลังตาย? image

สำหรับแฟนบอลที่เล่นโซเชียลอยู่ตลอดก็น่าพอเห็นกันบ้างว่าสื่อ, นักวิจารณ์ รวมไปถึงแฟนบอลต่างประเทศได้ออกมาพูดถึงเรื่องความสนุกของฟุตบอลตอนนี้ว่ามันเริ่มที่จะสนุกน้อยลงเรื่อย ๆ

เนื่องจากในฤดูกาลล่าสุดนี้ โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีก เราจะเห็นได้ว่าหลาย ๆ ทีมมาเน้นเล่นลูกตั้งเตะกันเยอะ ยกตัวอย่างเช่น อาร์เซนอล ที่มีทีเด็ดในการทำประตูจากเซ็ตพีซเป็นกอบเป็นกำ หรือว่า เบรนท์ฟอร์ด ที่มีไม้ตายคือลูกทุ่มไกลแบบเดียวกับ สโต๊ค ซิตี้

นั่นเลยทำให้ประโยคสุดคลาสสิกอย่า "ฟุตบอลกำลังจะตาย" หรือ "ฟุตบอลได้ตายไปแล้ว" กลับมาอีกครั้ง และที่ว่ามันกลับมาอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่ามันเคยเกิดเรื่องอะไรแบบนี้ขึ้นมาแล้วในอดีต

ดังนั้นเรามาย้อนดูกันสักหน่อยว่า "ฟุตบอลได้ตายไปแล้ว" มันมาจากไหน แล้วทำไมเราถึงไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องอะไรแบบนี้มากนัก? ตามอ่านต่อได้ที่นี่

อิตาลี 1982 จุดเริ่มต้นของประโยคว่าฟุตบอลตายแล้ว

ประโยคที่ว่าฟุตบอลได้ตายไปแล้วมันเริ่มมาจากช่วงฟุตบอลโลก 1982 ที่ในเวลานั้นทีมชาติบราซิล ถือว่าเป็นตัวเต็งสุด ๆ ที่จะคว้าแชมป์ไปครอง เพราะว่ามีผู้เล่นดาวดังอย่าง ซิโก้, โซคราเตส หรือว่า เอแดร์ แต่สุดท้ายมันไม่ได้เป็นแบบนั้น

ย้อนกลับไปในรอบแบ่งกลุ่มรอบที่ 2 บราซิล ที่เล่นด้วยหัวใจ, เน้นฟุตบอลสวยงาม และความเข้าใจกันของเพื่อนในทีม ต้องมาเล่นนัดชี้ชะตาเข้ารอบต่อไปกับ อิตาลี ทีมที่เน้นแท็คติกหนัก ๆ เน้นรับแล้วรอสวน รอคู่แข่งพลาดเพื่อทำประตู ไม่ได้เน้นบุกใส่ หรือเข้าทำแบบสวยงามตามทัพแซมบ้า

บราซิล โดนนำเร็วตั้งแต่ 5 นาทีแรกจาก เปาโล รอสซี แต่ โซคราเตส ก็ใช้จังหวะฉาบฉวยหลุดเข้าไปยิงตีเสมอ 1-1 แต่เล่นไปเล่นมา พวกเขาเจาะแนวรับสุดแกร่งของ อิตาลี ไม่เข้าเลย ก่อนที่จะพลาดท่ากันเองแล้วเป็น รอสซี คนเดิม มายิงประตูให้ทัพอัซซูรีออกนำ 2-1

ช่วงกลางครึ่งหลัง ฟัลเกา มาซัดประตูตีเสมอให้กับทัพแซมบ้าอีกครั้งเป็น 2-2 แต่ก็เข้าอีหรอบเดิม การใช้ฟุตบอลสวยงาม การเข้าทำที่เขาเคยทำได้ดีตลอดกับทีมอื่น ๆ มันไม่เวิร์คกับ อิตาลี เลย

และสุดท้าย พวกเขาก็เจาะไม่เข้า แล้วมาโดนทีเด็ดฟรีคิกจาก รอสซี ในนาทีที่ 74 ก่อนที่จะแพ้ไป 2-3 ทั้ง ๆ ที่ในเวลานั้น พวกเขาขอแค่เสมอกับ อิตาลี ก็เข้ารอบแล้ว แต่ บราซิล คิดแค่ว่าพวกเขาต้องชนะเท่านั้น เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นทีมที่ดีกว่า เล่นเกมรุกได้ดีกว่า แต่พอมาเจอเกมรับและสวนคม ๆ แบบมีวิธีการ พวกเขาก็ไปไม่เป็น

หลังจบเกมนั้น สื่อ, นักเตะ รวมไปถึงทุก ๆ คนในประเทศบราซิลต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ฟุตบอลได้ตายไปแล้ว" เพราะว่าพวกเขารู้สึกไม่แฟร์นิด ๆ ที่ทีมที่เล่นได้อย่างสวยงาม เน้นเกมรุก กลับต้องมาแพ้ทีมอุด รับแน่น ๆ แท็คติกจ๋า ๆ แบบ อิตาลี ทุก ๆ คนที่ บราซิล ไม่ได้มองว่าฟุตบอลควรเป็นแบบนั้น

Getty Images

โชเซ มูรินโญ ชายผู้เคยถูกเรียกว่าเข้ามาฆ่าฟุตบอล

อีกเคสหนึ่งที่น่าสนใจ และไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากนั่นก็คือฟุตบอลในสไตล์ของ โจเซ มูรินโญ ยอดกุนซือชาวโปรตุเกสที่เรียกได้ว่าไปทีมไหนก็ทำทีมประสบความสำเร็จที่นั่น

และที่ว่าทำทีมคว้าแชมป์ได้ตลอดมันเป็นเพราะอะไร นั่นก็เพราะว่าปรัชญาและแผนการทำทีมที่เน้นผลการแข่งขันแบบสุดโต่งนั่นเอง บอลของ "น้ามู" ไม่ใช่ฟุตบอลที่เข้าทำสวยงาม ไม่ใช่ฟุตบอลที่ยิงประตูกันเยอะเป็นกอบเป็นกำทุกนัด

Getty Images

แต่เป็นทีมที่รู้ว่า จังหวะไหนควรทำอะไร สถานการณ์ไหนควรจะทำอะไร มูรินโญ วางหมากให้นักเตะทุกคนในทีมหมดแล้ว ว่าเกมรับต้องมาอันดับ 1 แล้วเกมรุกค่อยตามมา ค่อยเล่นเมื่อมีจังหวะ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ขัดใจกับแฟนบอลทีมอื่น ๆ พอสมควร เมื่อต้องเล่นเจอกับทีมรถบัสของ มูรินโญ

ทำให้แฟนบอลโดยเฉพาะในประเทศอังกฤษถึงกับพูดกันว่า มูรินโญ ไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงฟุตบอลอะไรหรอก แต่เขาเข้ามาเพื่อทำลายและฆ่าเกมที่สวยงามอย่างฟุตบอลต่างหาก

อาร์เซนอล เหยื่อรายล่าสุดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุให้ฟุตบอลไม่สนุก

รายล่าสุดที่ตกเป็นเหยื่อของคำวิจารณ์แบบนี้ก็คือ อาร์เซนอล ของ มิเกล อาร์เตต้า ที่ช่วงหลังปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาทำประตูจากลูกตั้งเตะได้เยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกฟรีคิกหรือว่าลูกเตะมุม และไม่ใช่ว่าพวกเขาเล่นโอเพ่นเพลย์ไม่เป็น พวกเขาก็ทำได้ดีกับโอเพ่นเพลย์ แต่แค่พวกเขามีวิธีการที่หลาย ๆ ทีมตอนนี้ทำตามได้ยากอย่างลูกตั้งเตะเข้ามาเสริมเท่านั้นเอง

แล้วก็เหมือนเดิม แฟนบอลทีมอื่น ๆ ก็รู้สึกว่าการเน้นลูกตั้งเตะแบบนี้มันไม่ใช่ฟุตบอลที่แท้จริง มันคือการเข้าทำแบบคลาสสิก มันคือการแทงทะลุช่องสวย ๆ ให้ตัวหลุดเข้าไปยิง แต่ตอนนี้ อาร์เซนอล ทีมที่ไม่ได้เน้นเรื่องนั้น แต่มีทีเด็ดจากลูกตั้งเตะ กำลังนำเป็นจ่าฝูงเดี่ยว ๆ ในพรีเมียร์ลีกตอนนี้

แต่ถ้าหากอ่านมาทั้งหมด เชื่อว่าน่าจะพอเห็นภาพกันแล้วว่าจริง ๆ เรื่องนี้มันไม่มีอะไรที่ผิดทั้งนั้น ทุก ๆ ทีมเล่นฟุตบอลเพื่อทำประตูเหมือนหมด ทุก ๆ ทีมต้องการเล่นเพื่อชัยชนะเหมือนกันอยู่แล้ว

แต่แค่ว่าทุก ๆ ทีม ก็มีวิธีการเล่น หรือว่าแท็คติกที่แตกต่างกันออกไปในการทำประตูหรือว่าชนะเกม และคู่แข่ง ก็ต้องหาวิธีมาแก้หรือวิธีมาชนะแท็กติกนั้น ๆ ให้ได้ก็เท่านั้น หรือคิดในอีกแง่หนึ่งก็คือ นี่เป็นความสนุกอีกอย่างของฟุตบอล รวมไปถึงกีฬาชนิดอื่น ๆ ด้วย

ดังนั้นเราไม่จำเป็นจะต้องไปกังวลเลยว่าฟุตบอลมันกำลังจะตาย แต่มันแค่เปลี่ยนวิธีการไปเรื่อย ๆ คล้ายกับเทรนด์แฟชั่น เทรนด์โซเชียลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

บทความที่เกี่ยวข้อง

Editorial Team