One Hit Wonder : มาริโอ ยาร์เดล ดาวยิงสูงสุดยุโรป 2 สมัย ที่ลงเอยกับยาเสพติด

Staff Writer
One Hit Wonder : มาริโอ ยาร์เดล ดาวยิงสูงสุดยุโรป 2 สมัย ที่ลงเอยกับยาเสพติด image

78 ประตูจาก 60 นัดคือผลงานที่ มาริโอ ยาร์เดล กองหน้าชาวบราซิล จารึกไว้ และมันก็ดีพอที่จะทำให้เขาคว้ารางวัลดาวยิงสูงสุดลีกยุโรปได้ถึง 2 สมัย 

อันที่จริง จากสถิติสวยหรู น่าจะทำให้ ยาร์เดล ก้าวขึ้นมาเป็นยอดดาวยิงของโลกในเวลาต่อมา แต่โลกมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แถมสุดท้ายเขายังมาลงเอยกับการติดยา

เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของกองหน้าชาวบราซิลรายนี้? ติดตามไปพร้อมกัน 

กำเนิดซูเปอร์มาริโอ

ทัวร์นาเมนต์ระดับทวีปอย่าง โคปา ลิเบอตาดอเรส มักจะเป็นการแจ้งเกิดดาวดวงใหม่ของบราซิลอยู่เสมอ และ มาริโอ ยาร์เดล ก็เช่นกัน เขาคือหนึ่งในสมาชิกของ เกรมิโอ ชุดคว้าถ้วยใบนี้เมื่อปี 1995 ด้วยการยิงไป 12 ประตูจาก 14 เกม ที่ทำให้เขาได้ดาวซัลโวของรายการมานอนกอดอีกใบ 

แน่นอนว่าฟอร์มดังกล่าว ย่อมทำให้ ยาร์เดล ได้รับความสนใจจากหลายทีมในยุโรป เริ่มจาก กลาวโกว์ เซลติก จากสก็อตแลนด์ ทว่าด้วยกฎเซ็นนักเตะนอกอียูที่เข้มงวดของสหราชอาณาจักร ทำให้ ปอร์โต้ จากโปรตุเกส ชิงตัดหน้าได้ตัวหอกชาวบราซิลไปแทน 

ยาร์เดล คือกองหน้าคลาสสิคหมายเลข 9 อย่างแท้จริง ที่มักจะอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ เขามักจะหาพื้นที่เข้าไปทำประตูได้บ่อยครั้ง ทั้งลูกยิง หรือลูกโหม่งที่เป็นเครื่องหมายการค้า และมันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นกับ ปอร์โต้ 

เขาแทบไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวในยุโรป เมื่อประเดิมซีซั่นแรกด้วยการซัดไป 31 ประตูจาก 30 เกมในลีกโปรตุเกส คว้ารางวัลดาวซัลโว พร้อมพา ปอร์โต้ ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ 

แต่นั่นเป็นแค่น้ำจิ้ม เมื่อ ยาร์เดล ยังเดินหน้าซัดประตูได้อย่างต่อเนื่องในฤดูกาลต่อมา และทำไป 39 ประตูจาก 40 เกมในทุกรายการ ก่อนที่ในฤดูกาล 1998/99 เขาซัดไปถึง 36 ประตูจาก 32 เกมในลีก ที่ทำให้หัวหอกชาวบราซิล คว้ารางวัลดาวยิงสูงสุดลีกยุโรปได้สำเร็จ 

ทั้งนี้ ยาร์เดล ไม่ได้เก่งแค่ในลีกโปรตุเกสเท่านั้น แต่ในถ้วยฟุตบอลยุโรป อย่าง ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เขาก็ไม่น้อยหน้า โดยเฉพาะในฤดูกาล 1999/00 ที่ซัดไป 10 ประตูจาก 12 เกม ซึ่งมาจากการเจอกับทีมทั้ง เรอัล มาดริด, บาร์เซโลนา และ บาเยิร์น มิวนิค 

สุดท้ายในดังกล่าว ยาร์เดล ได้จารึกสถิติอันเหลือเชื่อ ด้วยการยิงไปถึง 55 ประตูจาก 50 นัด ทว่าน่าเสียดายที่มันยังไม่ดีพอ ที่จะทำให้เขาคว้าดาวยิงสูงสุดยุโรปสมัยที่ 3 หลังแพ้ เควิน ฟิลลิปส์ ของซันเดอร์แลนด์ จากค่าสัมประสิทธิ์ลีกที่น้อยกว่า 

และนั่นก็ทำให้ ยาร์เดล รู้ว่าเขาต้องก้าวไปสู่ขั้นต่อไปให้ได้ 

ท้าทายยุโรป  

การได้เห็นเพื่อนร่วมทีม ปอร์โต้ อย่าง แซร์จิโอ คอนไซเซา หรือ ซลัทโก้ ซาโฮวิช ย้ายไปเล่นให้กับ ลาซิโอ หรือ วาเลนเซีย ทำให้ ยาร์เดล มองว่านี่อาจจะถึงเวลาของเขาเช่นกัน โดยมีพรีเมียร์ลีกเป็นเป้าหมาย 

“การทดสอบที่แท้จริงคือการได้เล่นในท็อปลีกยุโรปอย่าง อังกฤษ อิตาลี สเปน” ยาร์เดล กล่าวกับนักข่าว 

“ใครบ้างที่ไม่อยากไปเล่นใน อังกฤษ อิตาลี หรือสเปน ลีกเหล่านี้มีระดับของฟุตบอลที่น่าดึงดูด ลีกอังกฤษเร็วมากและน่าตื่นตา และมันยังมีสไตล์เกมรุกที่เหมาะกับกองหน้า

“ผมไม่ได้อยากไปเล่นให้ทีมไหนก็ได้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรแห่งผู้ชนะ และผมก็อยากไปที่นั่นมากกว่าทีมที่ประสบความสำเร็จน้อยกว่า” 

แต่ปัญหาก็คือ ยาร์เดล เป็นนักเตะนอกอียู ทำให้โอกาสที่จะขอเวิร์คเพอร์มิตอังกฤษที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดคือต้องลงเล่นในทีมชาติให้มากพอ และน่าเศร้าที่ตอนนั้นทีมชาติบราซิลเต็มไปด้วยนักเตะอย่าง ริวัลโด้, โรนัลดินโญ, มาซิโอ อโมโรโซ, โจวานนี เอลแบร์ และ R9 โรนัลโด้ 

อันที่จริง นอกจากพรีเมียร์ลีกแล้ว ยาร์เดล ยังตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับ อินเตอร์ มิลาน ที่จะเอาเขาไปแทน โรนัลโด้ ที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่สุดท้ายก็ไม่เคยเกิดขึ้น ที่ทำให้สุดท้าย ยาร์เดล ไปเซ็นสัญญากับ กาลาตาซารายแทน 

แม้จะไม่ได้เล่นในลีกใหญ่ แต่การมา กาลาตาซาราย ก็ไม่เลวสำหรับ ยาร์เดล ในเวลานั้น เพราะนอกจะยิงไปถึง 22 ประตูจาก 24 เกมในลีกแล้ว เขายังซัดประตูในเกมยุโรปไปถึง 9 ลูก และช่วยให้ทีมจากตุรกี คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพได้สำเร็จ 

แต่ ยาร์เดล ก็อยู่กับ กาลาตาซาราย เพียงแค่ปีเดียว เมื่อในปี 2001 เขาตัดสินย้ายกลับโปรตุเกส ไปอยู่กับ สปอร์ติง และ ซูเปอร์มาริโอ ก็ยังเป็น ซูเปอร์วันยังค่ำ เมื่อยิงไป 42 ประตูจาก 30 นัดในลีก คว้ารางวัลดาวซัลโวลีกยุโรป มาครองเป็นสมัยที่ 2 

ด้วยฟอร์มขนาดนี้ ยาร์เดล เชื่อว่าตัวเองน่าจะมีโอกาสเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมชาติบราซิล ชุดลุยฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ของ หลุยส์ เฟลิปเป สโคลารี อย่างแน่นอน 

ทว่าสุดท้ายเขาก็ต้องอกหัก ที่ส่งผลต่อชีวิตเขาไปตลอดกาล 

จุดเริ่มต้นของจุดจบ 

ในวันที่ประกาศชื่อ 23 คนสุดท้ายบราซิล ชุดลุยฟุตบอลโลกฉบับเอเชีย กลับไม่มีชื่อของ ยาร์เดล อยู่ในลิสต์ เนื่องจากสโคลารี เลือกใช้บริการ เอดิลสัน และ ลุยเซา ที่ค้าแข้งอยู่ในลีกบราซิลแทน 

“การเล่นของ ยาร์เดล จะไม่เวิร์ค หากไม่มีใครครอสบอลมาให้ คุณไม่สามารถสร้างสไตล์การเล่นจากนักเตะเพียงแค่คนเดียว ยาร์เดล ต้องปรับตัวให้เขากับระบบ การเล่นของ ยาร์เดล ขึ้นอยู่กับพื้นที่ของการครอสบอล” สโคลารี อธิบาย

การปฏิเสธครั้งนี้ทำให้ ยาร์เดล แทบฝันสลาย เพราะเขาเชื่อว่าตัวเองดีพอที่จะอยู่ในทีมชาติบราซิลชุดนี้ และมันก็ยิ่งเจ็บปวด เมื่อสุดท้ายพลพรรคแซมบ้า ก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์โลกในบั้นปลาย 

แต่นั่นยังไม่ใช่ความเสียใจครั้งสุดท้ายของ ยาร์เดล เมื่อหลังฟุตบอลโลก เขาต้องพลาดโอกาสโอกาสไปเล่นในลาลีกากับ บาร์เซโลนา หรือ เรอัล เบติส เนื่องจาก สปอร์ติง เรียกค่าตัวสูงถึง 10 ล้านปอนด์ 

สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของ ยาร์เดล อย่างหนัก จนต้องไปฟื้นฟูสภาพจิตใจที่บราซิลชั่วคราวในเดือนกันยายน 2002 ก่อนที่เขาจะประกาศว่า เขาจะย้ายออกจาก สปอร์ติง 

"ผมจะไม่กลับไปเล่นให้ปอร์ติง หรือในโปรตุเกสอีกแล้ว ผมได้พัก ได้ฟื้นฟูสภาพจิตใจ และผมก็รู้สึกดีขึ้น" ยาร์เดล ให้สัมภาษณ์กับ The Guardian เมื่อปี 2002 

"ผมดีขึ้น แต่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ สิ่งที่ดีที่สุดคือการออกจากโปรตุเกส ผมหวังว่าเจ้าหน้าที่ของสปอร์ติงจะเข้าใจสิ่งนี้ ผมจะอยู่บราซิล จนกว่าจะหาสโมสรได้"

แน่นอนว่าฝั่ง สปอร์ติง ก็ไม่ยอม พวกเขาใช้ไม้เด็ดด้วยการไม่จ่ายเงินเดือน ขณะที่ฝั่ง ยาร์เดล ตอบโต้ด้วยการขอยกเลิกสัญญา จนสุดท้ายฟีฟ่า ต้องเข้ามาไกล่เกลี่ย 

สุดท้ายหนึ่งเดือนหลังจากนั้น ยาร์เดล ต้องจำใจกลับมาเล่นให้ สปอร์ติง แต่เขาไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว และทำไปเพียงแค่ 12 ประตูจาก 20 นัดในฤดูกาล 2002/03 

นอกจากนี้ ยาร์เดล ยังมีปัญหานอกสนาม จากการเป็นคนชอบปาร์ตี้มาก บวกกับอาการบาดเจ็บ ที่เกิดจากการกระโดดลงสนามในช่วงพักเบรกฤดูหนาว ทำให้ สปอร์ติง ตัดสินใจปล่อยเขาไป โบลตัน วันเดอเรอร์ส ด้วยค่าตัวเพียงแค่ 1.5 ล้านปอนด์ 

หลังจากนั้น ความเป็นยอดดาวยิงของ ยาร์เดล ก็กลายเป็นอดีต เขามีผลงานที่ตกลงอย่างฮวบฮาบ จนทำประตูไม่ได้เลยให้ โบลตัน และแม้จะเล่นให้กับลีกอื่น ก็ยิงประตูได้แค่หยิบมือ และมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก 

“เขามาถึงพร้อมกับน้ำหนักที่เกินไปมาก เขาเดินโยกเยกแบบแปลกๆ” แอนดรู ดูรันเต อดีตเพื่อนร่วมทีม ยาร์เดล ที่ นิวคาสเซิล เจ็ตส์ กล่าวกับ Fox Sport  

“ผมจำได้ว่าเราค้นวิกิเกี่ยวกับตัวเขา และเจอว่าเขามีน้องชายชื่อ จอร์จ ยาร์เดล เราคิดว่าหรือนี่จะเป็นจอร์จ เราได้ ยาร์เดล มาผิดคน พวกเขาส่ง จอร์จ มาให้เรา” 

“ผมไม่เห็นอะไรในตัวเขาเลย เขาพลาดง่ายๆ หน้าปากประตู การควบคุมบอลของเขาแย่มาก” 

ยาร์เดล ยอมรับว่าเขามีปัญหาเรื่องจิตใจ จากความผิดหวังซ้ำๆ และกลายเป็นโรคซึมเศร้า จนเคยหันเหสู่วงการยาเสพติด และผลต่อฟอร์มการเล่นในระยะหลัง 

"ยาอย่างเดียวที่ผมเคยเสพคือโคเคน แต่ผมไม่ได้เสพตอนเล่น ผมเสพมันตอนช่วงปิดฤดูกาล"  ยาร์เดล ให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2008 

"ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากการมีเพื่อนที่แย่ หลังจากนั้นก็นำไปสู่การหย่า ซึมเศร้า และยาเสพติด สิ่งนี้เกิดขึ้นมากมายในโลกฟุตบอล แต่ผมไม่สามารถพูดเกี่ยวกับมันได้ เพราะผมไม่ได้ใช้มันแค่เดือนสองเดือน" 

เมื่อผลงานไม่ดี บวกกับสภาพร่างกายที่โรยรา ทำให้ในปี 2011 ยาร์เดล ตัดสินใจแขวนสตั๊ดในวัย 38 ปี ก่อนจะหันเห เข้าสู่วงการการเมือง แต่เขาก็มามีปัญหาเรื่องยาเสพติด จนถูกบีบให้ออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  

นี่คือชะตากรรมอันน่าเศร้าของ ดาวซัลโวลีกยุโรป 2 สมัย ที่จังหวะของชีวิต ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายไปหมด จนต้องลงเอยกับยาเสพติด 

น่าสนใจว่าหากเขาเกิดช้ากว่านี้อีกสักนิด ในยุคที่ผู้คนตระหนักถึงปัญหาโรคซึมเศร้า และได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เขาจะก้าวไปถึงการเป็นกองหน้าระดับเวิลด์คลาสได้หรือไม่

บทความที่เกี่ยวข้อง

Contributing Writer