“เมื่อเราต้องการ มีโม เขาจะแสดงให้เห็นอยู่เสมอ” ฮอร์เก ซานเชซ กองหลังทีมชาติเม็กซิโกกล่าว
ทุกครั้งที่ฟุตบอลโลกเปิดฉากขึ้น นอกจากความสนุกของเกมลูกหนัง สิ่งหนึ่งที่แฟนบอลมักให้ความสนใจก็คือครั้งนี้ กีเญร์โม โอชัว จะระเบิดฟอร์มอีกหรือไม่
เพราะเมื่อใดที่เขาได้ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์นี้ นายด่านทีมชาติเม็กซิโก มักจะงัดลีลาการเซฟในระดับคู่แข่งต้องร้องขอชีวิต จนกลายเป็นแข้งเนื้อหอมทุกครั้งหลังจบการแข่งขัน
อย่างไรก็ดี มันกลับต่างกับตอนเล่นให้สโมสร เพราะนอกจาก โอชัว แทบจะไม่เคยค้าแข้งกับทีมดังในยุโรป เขายังไม่มีอะไรน่าจดจำหรือความสำเร็จแบบจับต้องได้
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? ติดตามไปพร้อมกัน
เวิลด์คัพสร้างชื่อ
ฟุตบอลโลก ดูจะเป็นสิ่งที่ผูกพันกับ กีเญร์โม โอชัว เป็นพิเศษ เพราะหลังจากเข้าๆ ออกๆ ในทีมชาติเม็กซิโก มาตั้งแต่ปี 2005 ทัวร์นาเมนต์ใหญ่แรกในชีวิตของเขาก็คือ ฟุตบอลโลก 2006 ที่ เยอรมัน
อย่างไรก็ดี โอชัว ในวัย 20 ปีในตอนนั้น ยังต้องอยู่ใต้ร่มเงาของ ออสวาโด ซานเชซ และ เซซุส โคโรนา ในฐานะผู้รักษาประตูสำรอง ไม่ได้ลงสัมผัสเกมแม้นาทีเดียว และมันยังคงเป็นเช่นนั้นใน เวิลด์คัพ 2010 ที่แอฟริกาใต้
กว่าที่ โอชัว จะได้สัมผัสเวทีฟุตบอลโลกอย่างจริงจัง ก็ต้องรอจนถึงปี 2014 ที่บราซิล แต่นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของตำนาน
ทัวร์นาเมนต์นั้น เม็กซิโก ต้องโคจรมาอยู่ในกลุ่มสุดแข็ง เพราะนอกจาก โครเอเชีย และ แคเมอรูน แล้ว พวกเขาจะต้องเจอกับ แชมป์โลก 5 สมัย และเจ้าภาพ อย่าง บราซิล
ทำให้แม้ว่าเกมแรก เม็กซิโก จะเฉือนเอาชนะ โครเอเชีย ไปได้ 1-0 แต่การเจอกับ บราซิล มันคืองานช้าง ที่อาจจะชี้เป็นชี้ตายการเข้ารอบ
นัดนี้ โอชัว ถูกเลือก อกีร์เร ให้เป็นตัวจริงเป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อจัดการเซฟลูกโหม่งที่กำลังจะเบียดเสาของ เนย์มาร์ ในนาทีที่ 26 ลูกชาร์จจ่อๆ ของเปาลินญา ในนาทีที่ 44 และลูกโหม่งที่น่าเป็นประตูของ ติอาโก ซิลวา ในช่วงท้ายเกม

เบ็ดเสร็จเกมนั้น โอชัว ทำไปทั้งสิ้น 6 เซฟ ช่วยให้ เม็กซิโก ยันเสมอกับ บราซิล แบบไร้สกอร์ 0-0 พร้อมคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปครอง
“ไม่มีผู้รักษาประตูคนไหนในฟุตบอลโลก ที่ทำอย่าง โอชัว ได้ในเกมกับบราซิล” มิเกล เฮร์เรรา โค้ชเม็กซิโก กล่าวหลังเกม
ขณะที่ ติอาโก ซิลวา กัปตันบราซิล ก็ยังกล่าวชื่นชมนายด่านคู่แข่ง “เขาสมควรได้รับการแสดงความยินดี และได้รับความเคารพจากพวกเราทุกคน”
แม้ว่าหลังจากนั้น เม็กซิโก จะไปไกลที่สุดแค่ รอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ โอชัว ก็ยังได้รับเสียงชื่นชมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเกมรอบ 2 กับ เนเธอร์แลนด์ ที่เขาเซฟอุตลุต ไม่ให้ทีมเสียประตูจนกระทั่งนาทีที่ 88
น่าเสียดายสุดท้าย เม็กซิโก มาทำนบพังในช่วงท้ายเกม ก่อนจะพ่ายไปจากจุดโทษของ คลาส แยน ฮุนเตลาร์ ในนาทีที่ 90+4 แต่ถึงอย่างนั้น โอชัว ก็ยังได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขันเป็นเกมที่ 2 ของทัวร์นาเมนต์
อย่างไรก็ดี มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
พีคแต่บอลโลก
4 ปีหลังจากนั้น โอชัว ก็ยังได้รับความไว้ใจในทีมชาติ ก่อนที่เขาจะทำให้โลกหันมามองอีกครั้ง หลังทำไปถึง 9 เซฟ ช่วยให้ เม็กซิโก เฉือนชนะ เยอรมัน แชมป์เก่า 1-0 ในเกมนัดเปิดสนาม ฟุตบอลโลกกลุ่ม เอฟ
นอกจากนี้ ในฟุตบอลโลก 2022 ในวัย 37 ปี เขายังรักษามาตรฐานเป็นโกลฟอร์มเทพประจำเวิลด์คัพ ด้วยการป้องกันประตูอย่างต่อเนื่องในเกมกับ โปแลนด์ รวมถึงจุดโทษของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ช่วยให้ทีมเสมอแบบไร้สกอร์ และคว้ารางวัล แมน ออฟเดอะ แมตช์ ไปนอนกอดอีกครั้ง
“เมื่อเราต้องการ มีโม เขาจะแสดงให้เห็นอยู่เสมอ” ฮอร์เก ซานเชซ กองหลังทีมชาติเม็กซิโกกล่าว
ตลอดการลงเล่นฟุตบอลโลก 3 สมัย (2014, 2018, 2022) โอชัว เสียไป 12 ประตูจากการลงเล่น 11 นัด เซฟรวมกันไปไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง โดยเฉพาะฟุตบอลโลก 2014 ที่เขาทำไปถึง 25 เซฟ จนได้รับการขนานนามว่า “โกลจอมโหดทุก 4 ปีครั้ง”
“เกมกับ บราซิล คือจุดเปลี่ยนในชีวิตของผม ผู้คนบนท้องถนนจำผมได้ ไม่ใช่ในประเทศของผม” โอชัวกล่าว
“หลายครั้งในฟุตบอลโลกคุณจะตื่นเต้นเกินไป ประหม่าเกินไป วิตกกังวลเกินไป และถ้าคุณทำพลาด ทุกอย่างก็จะร้ายแรงมาก”
“คุณต้องหาความสมดุลด้านอารมณ์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จ หรือผิดพลาดก็ตาม”

อย่างไรก็ดี มันต่างออกไปยามรับใช้สโมสร เพราะนับตั้งแต่ออกมาค้าแข้งในยุโรปกับ อญักซิโอ ในปี 2011 เขาก็ไม่มีผลงานน่าจดจำ อีกทั้งยังเสียไปถึง 186 ประตูจาก 116 เกม ตลอด 3 ปีในลีกเอิง
อันที่จริง หลังจบฟุตบอลโลก 2014 เขาเคยได้รับความสนใจจากลิเวอร์พูล แต่สุดท้ายดีลก็ไม่เกิดขึ้น จนต้องย้ายไปอยู่กับ มาลากา ในลาลีกา ของสเปน
ที่นี่ เป็นเหมือนฝันร้ายของ โอชัว เมื่อเขาไม่ได้รับความไว้ใจจาก ฆาบี การ์เซีย จนได้รับโอกาสลงสนามไปแค่ 19 เกม ก่อนจะถูกปล่อยให้ กรานาดา ยืมตัวไปใช้งานในปีที่ 3
แถมในปีดังกล่าว ยังเป็นความทรงจำไม่ดีของ โอชัว เมื่อเขาเสียไปถึง 82 ประตูจากการลงสนาม 39 เกม จนทำให้ กรานาดา จบในอันดับสุดท้ายของ ลาลีกา และร่วงตกชั้นในท้ายที่สุด
สุดท้ายชีวิตของ โอชัว ในยุโรปก็วนเวียนกับการลงเล่นให้กับทีมเล็กๆ และไม่ได้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ต่างจากในฟุตบอลโลก ที่เขาเป็นเหมือนฮีโร ของคนทั้งประเทศ…เพราะอะไร?

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสไตล์การเล่นของ เม็กซิโก ในฟุตบอลโลก ที่เน้นตั้งรับแล้วสวนกลับ ทำให้ตำแหน่งผู้รักษาประตู งานชุกกว่าใครเพื่อน จนสามารถฉายแววเด่นออกมา
ขณะที่ในระดับสโมสร เขามักจะย้ายไปอยู่ในทีมระดับกลางไปถึงค่อนล่างของตาราง ที่เกมรับรั่วทั้งแผง เมื่อเจอความกดดันตลอดทั้งฤดูกาล ทำให้ โอชัว ถึงจะเก่งแต่ก็เซฟไม่ไหว
นอกจากนี้ ด้วยความที่เกมลีก มีแข่งอย่างต่อเนื่อง การเสียประตูบ่อยๆ ย่อมทำให้ความมั่นใจตกลง และไม่สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองได้ ทำให้สุดท้ายเขาจึงเป็นผู้รักษาประตูที่แทบจะถูกลืมยามเล่นให้กับสโมสร
ก็ต้องมารอดูกันว่าในฟุตบอลโลก 2026 ในกลางปีหน้า นายด่านวัย 40 ปี จะได้เข้ามาเล่นในรายการนี้เป็นสมัยที่ 6 อีกหรือไม่ เพราะนี่คือเวิลด์คัพครั้งสำคัญที่ได้เล่นต่อหน้าผู้คนในบ้านเกิด
และถ้าหาก โอชัว มีชื่อติดทีมมา เชื่อว่าเขาจะยังคงเป็นนักเตะที่แฟนบอลต่างรอที่จะดูฟอร์ม เหมือนในฟุตบอลโลกทุกครั้งที่ผ่านมา