จากจังหวะสวนกลับ บอลหลุดขึ้นไปทางซ้าย แล้วเปิดเข้ามาตรงกลาง ปาป้า บูบ้า ดิยอป พุ่งเข้ามาชาร์จไปติดตัวของ ฟาเบียน บาร์เตซ แต่ยังสามารถตามซ้ำเข้าไป
มันคือประตูชัยที่ทำให้ เซเนกัล คว้าชัยเหนือแชมป์เก่าอย่าง ฝรั่งเศส อย่างเหลือเชื่อด้วยสกอร์ 1-0 พร้อมกับการแจ้งเกิดของ เอล ฮัดจิ ดิยุฟ ผู้พาบอลลากเลื้อยไปจ่ายให้ ดิยอป ทำประตู
หลังเกมนัดนั้น ดิยุฟ กลายเป็นแข้งเนื้อหอม ก่อนจะได้เซ็นสัญญากับ ลิเวอร์พูล ท่ามกลางความคาดหวังว่าเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นยอดแข้งจากแอฟริกาคนต่อไป
แต่ความเป็นจริงมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เกิดอะไรขึ้นกับปีกรายนี้ ติดตามไปพร้อมกัน
ปาฏิหาริย์แห่งฟุตบอลโลก
ก่อนทัวร์นาเมนต์ที่ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ 2002 เซเนกัล อดีตอาณานิคมฝรั่งเศสจากแอฟริกาชาตินี้ ถูกมองว่าเป็นเพียงไม้ประดับของรายการ พวกเขาไม่เคยผ่านเข้ามาเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แถมแชมป์ทวีปก็ไม่เคยไปถึง
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังโชคร้าย ด้วยการจับฉลากมาอยู่ในกลุ่มเดียวกับฝรั่งเศส แชมป์เก่า และทำให้ถูกเลือกเป็นคู่นัดเปิดสนาม ที่จะเปิดฉากที่โซล เวิลด์คัพ สเตเดียม ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2002
ก่อนเกมผู้คนต่างคาดกันว่า ฝรั่งเศส ที่ตอนนั้นอุดมไปด้วยนักเตะระดับโลกอย่าง ฟาเบียน บาร์เตซ, ลิลิยง ตูราม, มาร์เซล เดอไซญี และ เธียร์รี อองรี น่าจะสอนบอลทีมน้องใหม่ในฟุตบอลโลกทีมนี้ และเอาชนะไปอย่างไม่ยากเย็น
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่ เมื่อ เซเนกัล ที่นักเตะส่วนใหญ่ค้าแข้งอยู่ในลีกฝรั่งเศส รวมถึง บรูโน เม็ตซู กุนซือของทีมที่เคยมีประสบการณ์ในลีกเอิง กลับสามารถหยุดยั้งเกมรุกของแชมป์เก่าไว้จนอยู่หมัด
จนกระทั่งนาทีที่ 30 เซเนกัล มีโอกาสบุกจากจังหวะสวนกลับ เอล ฮัดจิ ดิยุฟ ได้บอลริมกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนกระดกหลบกองหลังฝรั่งเศส แล้วเปิดให้ ปาป้า บูบ้า ดิยอป เข้าชาร์จ แล้วติดตัว บาร์เตซ จังหวะแรก แต่ตามซ้ำเข้าไปให้ทีมขึ้นนำอย่างเซอร์ไพรส์

หลังเสียประตู ฝรั่งเศสพยายามโหมเกมบุก แต่ก็เจาะไม่เข้า หากไม่ชนเสาชนคาน ก็ไปติดเซฟผู้รักษาประตูเซเนกัล อีกทั้งยังเกือบเสียประตูที่ 2 จากจังหวะสวนกลับอีกหลายครั้ง
จบเกม เซเนกัล เอาชนะ ฝรั่งเศส ไปได้อย่างพลิกล็อค 1-0 และทำให้นอกจาก ดิยอป ผู้ทำประตูชัยจะเป็นที่รู้จักแล้ว ยังเป็นการแข้งเกิดของ ดิยุฟ ที่ลากเลื้อยเล่นงานแนวรับฝรั่งเศสตลอดทั้งเกม
“ถ้าเราเก็บผลการแข่งขันเกมนั้นไว้ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในเกมก็ไม่สำคัญอีกแล้ว” ดิยุฟกล่าวหลังเกม
ทว่านั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้นของตำนานเท่านั้น เมื่อหลังจากนั้น เซเนกัล ยังเก็บได้อีก 2 แต้มจากผลเสมอ เดนมาร์ก และ อุรุกวัย ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
หลังจากนั้น เซเนกัล ยังเดินหน้าสร้างตำนานต่อ ด้วยการเอาชนะ สวีเดน ด้วยกฎโกลเด้นโกล ก่อนจะมาจอดป้ายในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของ ตุรกี ในช่วงต่อเวลาพิเศษเช่นกัน
อย่างไรก็ดี แม้จะไปได้ไกลที่สุดแค่รอบก่อนรองชนะเลิศ แต่ผลงานออันยอดเยี่ยมของ เซเนกัล ทำให้ผู้เล่นของพวกเขากลายเป็นที่จับตา รวมไปถึง ดิยุฟ ที่ทำไป 3 แอสซิสต์ และได้ย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ หลังจบทัวร์นาเมนต์
แต่นั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย
ปีกจอมถุย
อันที่จริงก่อนฟุตบอลโลกจะเปิดฉาก ดิยุฟ ก็มีผลงานที่ไม่เลวกับ ลองส์ หลังทำไป 10 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 26 เกมในฤดูกาล 2001/02
ทำให้เขาถูกคาดหวังไม่น้อย โดยเฉพาะจากการเป็นหนึ่งในดาวเด่นในฟุตบอลโลก 2002 แถมยังเป็นผู้เล่นค่าตัวแพงสุดของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนั้นอีกด้วย
ปีกชาวเซเนกัล เริ่มต้นอย่างน่าสนใจ ด้วยการยิงเบิ้ลในการลงเล่นแค่นัดที่ 2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแธมป์ตัน ไปได้ 3-0 และมาทำแอสซิสต์เพิ่มได้ในเกมกับ เบอร์มิงแฮม ในอีก 3 สัปดาห์ต่อมา
มันดูเปิดการเปิดซีซั่นที่สดใส ทว่าในอีก 2 เดือนต่อมา เขาก็เริ่มมีปัญหา ที่ไม่ได้มาจากเพราะฟอร์มการเล่น แต่เป็นพฤติกรรมนอกสนาม

2 พฤศจิกายน 2002 แฟนบอลเวสต์แฮม กล่าวหาว่า ดิยุฟ ที่ไม่ได้ลงเล่นในเกมนัดนั้น ได้ถุยน้ำลายใส่เขาระหว่างอบอุ่นร่างกาย แม้ปีกชาวเซเนกัล จะไม่ยอมรับ แต่ ลิเวอร์พูล ก็แถลงการณ์ขอโทษในเวลาต่อมา
แต่นั่นไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ ดิยุฟ ต้องเผชิญกับข้อหานี้ เมื่อในเกมยูฟ่า คัพ รอบรองชนะเลิศ กับ กลาสโกว์ เซลติก ที่ เซลติก พาร์ค เขาถูกจับได้ว่าถุยน้ำลายใส่แฟนบอลเซลติก หลังถูกแซวข้างสนาม
แต่ครั้งนี้เขาต้องจำนนต่อหลักฐาน หลังถูกกล้องจับไว้ได้ และถูกยูฟ่า สั่งแบน 2 นัด รวมถึงปรับเงิน 5,000 ปอนด์ พร้อมกับออกมาขอโทษ โดยระบุว่า “นี่คือการกระทำที่โง่ที่สุดในชีวิต”
ทว่า พฤติกรรมของเขาได้กลายเป็นภาพจำที่ไม่ดีไปแล้ว อีกทั้งในฤดูกาลต่อมา เขายังมีปัญหาเรื่องการเก็บอารมณ์ จนถูกใบเหลืองไปถึง 9 ใบ และถูกไล่ออก 1 ครั้ง ทำให้ สุดท้าย ลิเวอร์พูล ยอมปล่อยให้ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ด้วยค่าตัวแบบเลหลังแค่ราว 5.7 ล้านปอนด์เท่านั้น
แม้ ดิยูฟ จะมีผลงานที่โดดเด่นในสีเสื้อของ โบลตัน ด้วยการทำไปถึง 24 ประตูกับ 18 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 136 เกม แต่เขาก็ยังมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมเหมือนเดิม
หนึ่งในนั้นคือการเป็นแข้งจอมถุย เขาถูกจับได้อีกครั้งว่าถุยน้ำลายใส่ อาร์ยัน เดอ ซู กัปตันของ ปอร์ทสมัธ ระหว่างมีปากเสียงกัน ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2004
ผลจากการกระทำครั้งนั้น ทำให้เขาถูกแบนจากสมาคมอังกฤษ 3 เกม พร้อมกับปรับเงิน 5,000 ปอนด์ อีกทั้งยังถูก โบลตัน ปรับเงินถึง 2 สัปดาห์

แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยเข็ด เมื่ออีก 2 เดือนต่อมา เขาถูกกล่าวหาว่าถ่มน้ำลายใส่แฟนบอล มิดเดิลสโบรห์ ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2004
แม้ว่าสุดท้าย ดิยุฟ จะไม่ถูกลงโทษเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ โบลตัน ก็ออกแถลงการณ์ขอโทษ และปรับเงินดาวเตะชาวเซเนกัล 2 สัปดาห์ พร้อมส่งเขาไปคุยกับจิตแพทย์ด้านกีฬา อย่างจริงจัง
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่สามารถแก้สิ่งที่เขาเป็นอยู่ได้เลย ดิยุฟ กลายเป็นแข้งเจ้าปัญหา ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ทีมไหน และมันก็กลายเป็นสิ่งที่บดบังความสามารถที่แท้จริงของเขาอย่างน่าเศร้า
ดิยุฟ ค้าแข้งอยู่ในวงการฟุตบอลจนถึงปี 2015 และไม่เคยเข้าใกล้ความสำเร็จแม้แต่น้อย ก่อนจะแขวนสตั๊ดกับ ซาบาห์ ในลีกมาเลเซีย แบบจบไม่สวย หลังขัดแย้งกับสโมสร จนถูกปลดออกจากการเป็นกัปตันทีม
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ดิยุฟ กลายเป็นภาพสะท้อนว่าบางครั้งการซื้อผู้เล่นจากฟอร์มในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ อย่างฟุตบอลโลก หรือ ยูโร มันอาจจะไม่เพียงพอ
เพราะการเป็นนักเตะอาชีพ ไม่ใช่แค่การทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ในทัวร์นาเมนต์ใดทัวร์นาเมนต์หนึ่งเท่านั้น แต่มันยังต้องมาพร้อมกับวินัยและความรับผิดชอบ ที่จะทำให้พวกเขาสามารถยืนระยะในลีกที่เตะกันเป็นปีๆได้