เขาคือนักเตะที่หลายคนจดจำได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเป็นเจ้าของสถิติเป็นผู้เล่นค่าตัวแพงสุดของ ลิเวอร์พูล หลังย้ายมาจากนิวคาสเซิล ด้วยมูลค่าสูงถึง 35 ล้านปอนด์
แต่มาวันนี้อดีตนักเตะชาวอังกฤษค่าตัวสูงสุด เมื่อ 10 กว่าปีก่อน กลับลงเอยกับทีมนอกลีกที่ไม่คุ้นหูอย่าง ดาเกนแฮม แอนด์ เรดบริดจ์ ในดิวิชั่น 6 ของอังกฤษ
เกิดอะไรกับ แอนดี้ แคร์โรลล์ คนนี้? ติดตามไปพร้อมกัน
ผู้สืบทอดหมายเลข 9
เส้นทางชีวิตของ แอนดี้ แคร์โรลล์ เริ่มต้นราวกับฝัน เพราะนอกจากจะได้ไปอยู่ในทีมเยาวชนของ นิวคาสเซิล สโมสรที่ตามเชียร์มาตั้งแต่เด็ก เขายังได้เซ็นสัญญาอาชีพกับทีมรักด้วยวัยเพียง 17 ปี
จุดเริ่มต้นของ แคร์โรลล์ มาจากการได้เห็นฝีเท้าของ อลัน เชียร์เรอร์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก และตั้งเป้าว่าอยากจะเจริญรอยตามไอดอลคนนี้
“ผมโตมาด้วยการดูเขาเล่น ยิงประตูและพานิวคาสเซิลไปในที่ต่างๆ รวมถึงวิธีที่เขาปรับตัวให้เข้ากับแทคติก ก้าวผ่านทุกอาการบาดเจ็บและรักษาตำแหน่งสำคัญไว้ได้ เขาคือตำนาน” แคร์โรลล์ กล่าวกับ The Independent
แม้ว่าในช่วงแรก เขาจะถูกปล่อยตัวไปให้ เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ยืมตัวไปใช้งาน และถูกใช้งานไม่มากนักในลีก ทว่าหลัง นิวคาสเซิล ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก และการจากไปของเหล่ากองหน้าอย่าง ไมเคิล โอเวน, มาร์ค วิดูกา และ โอบาเฟมี มาร์ติน โอกาสก็กลายเป็นของเขาเต็มตัว
ในปี 2009 แคร์โรลล์ในวัย 20 ปี มากับความมั่นใจแบบเต็มเปี่ยม เพราะแม้จะเครื่องร้อนช้า หลังยิงไปแค่ 4 ประตูจาก 18 นัดในครึ่งฤดูกาลแรก แต่หลังจากนั้นกลับกลายเป็นหนังคนละม้วน
เขากลายเป็นกองหน้าที่สโมสรในเดอะ แชมเปียนชิพต้องผวา เมื่อเดินหน้าพังตาข่ายคู่แข่งได้ต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปฏิทินเปลี่ยนเป็นปี 2010 โดยเฉพาะในเดือนมีนาคม ที่ยิง 4 นัดติดต่อกัน

เบ็ดเสร็จตลอดการลงสนามไป 39 เกมในฤดูกาล 2009/10 แคร์โรลล์ ซัดให้ นิวคาสเซิล ไปถึง 17 ลูก ก่อนจะพาพลพรรคทูนอาร์มี จบในตำแหน่งแชมป์เดอะ แชมเปียนชิพ เลื่อนชั้นกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกในปีเดียว
แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อ แคร์โรลล์ ในฤดูกาลใหม่ ที่มาพร้อมกับเสื้อมาเลข 9 ยังคงรักษาฟอร์มเก่งเอาไว้ได้ ด้วยการซัดไปถึง 11 ประตูจาก 19 นัดในครึ่งฤดูกาลแรก
“การได้สวมเสื้อหมายเลข 9 และยิงประตูได้ใน เซนต์ เจมส์ พาร์ค มันสุขเกินบรรยาย ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่” แคร์โรลล์ กล่าวกับ The Independent
“เราโตมาพร้อมกับความฝันนั้น การทำให้มันเป็นจริง และเป็นตัวแทนของสโมสรถือเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง”
ผลงานดังกล่าว ไม่เพียงทำให้เขาก้าวขึ้นไปติดทีมชาติอังกฤษเท่านั้น แต่ยังทำให้ ลิเวอร์พูล ยอมทุบกระปุก จ่ายเงินมูลค่าสูงถึง 35 ล้านปอนด์ คว้าตัวเขามาร่วมทีมในวันสุดท้ายของตลาดหน้าหนาว แทนการจากไปของ เฟร์นันโด ตอร์เรส ที่ย้ายไปอยู่เชลซี
ทว่า นั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้าย
ฟ้ากับเหว
การย้ายมาอยู่ ลิเวอร์พูล ของ แคร์โรลล์ กลายเป็นที่จดจำ เพราะนอกจากเขาจะเป็นนักเตะค่าตัวแพงสุดของ ลิเวอร์พูล ในขณะนั้น เขายังเป็นแข้งชาวอังกฤษที่ค่าตัวสูงที่สุดอีกด้วย
แต่ แคร์โรลล์ กลับทำไม่ได้อย่างที่คาดหวัง เขาได้เพียงแค่ 2 ประตูในเกมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และไม่ยิงอีกเลยจนจบฤดูกาล จากการลงสนาม 7 เกม
นอกจากนี้ในฤดูกาลต่อมา แม้ว่าเขาจะสลัดอาการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นอุปสรรคในซีซั่นที่แล้วออกไปได้ ผลงานก็ยังไม่เป็นที่ประทับใจ หลังยิงไปเพียงแค่ 4 ประตูจาก 35 เกมในลีก
แน่นอนว่าฟอร์มดังกล่าว ทำให้ แคร์โรลล์ ถูกวิจารณ์อย่างหนัก ถึงความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับค่าตัวมหาศาลในขณะนั้น ทำให้เมื่อเวลาผ่านไป ความมั่นใจของเขาก็ดูจะเหือดหายไปหมดสิ้น

สุดท้ายในปีที่ 3 ในถิ่นแอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล ก็ตัดสินใจปล่อยดาวยิงชาวอังกฤษให้ เวสต์แฮม ยืมตัวไปใช้งาน ก่อนจะขายขาดไปในราคาแค่ 15 ล้านปอนด์
“ผมรู้สึกว่าผมถูกสื่อจับจ้องมากขึ้นนับตั้งแต่ย้ายออกจากนิวคาสเซิล ที่ นิวคาสเซิล ผมลงหลักปักฐานได้แล้ว ผมมีครอบครัว มีเพื่อน มีชีวิตประจำวัน นั่นคือทั้งหมดที่ผมรู้” แคร์โรลล์ กล่าว
“ตอนผมไป ลิเวอร์พูล มันกลายเป็นเรื่องค่าตัวและทุกอย่างอย่างชัดเจน ผมเพิ่งจะอายุแค่ 21 ไม่เคยออกจากนิวคาสเซิลเลย แต่ถูกบอกให้เก็บข้าวของและย้ายไปที่นั่น และจากนั้นก็เริ่มต้นได้ไม่ดี
“อีกทั้งสื่อยังมีความต่างกันมาก ผมกลายเป็นจุดสนใจในระดับที่ใหญ่กว่า”
การย้ายไป เวสต์แฮม ทำให้ความมั่นใจของ แคร์โรลล์ เริ่มกลับมา และเคยยิงไปถึง 9 ประตูจาก 27 นัดในฤดูกาล 2015/16 แต่นั่นก็เป็นครั้งท้ายๆ สำหรับจุดสูงสุดในชีวิตของเขา
หลังหมดสัญญากับ เวสต์แฮม เขากลับไปอยู่กับ นิวคาสเซิล แต่มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ด้วยอายุที่แตะหลัก 30 บวกกับอาการบาดเจ็บ ทำให้อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ ยิงได้แค่ 1 ประตูจาก 43 เกม
จากนั้นกราฟชีวิตของ แคร์โรลล์ ก็ตกลงเรื่อยๆ เริ่มจากย้ายไปเล่นให้ทีมในลีก แชมเปียนชิพ ต่อด้วยลีกวัน และ ลีกเดอซ์ ของฝรั่งเศส ก่อนจะสร้างความฮือฮาด้วยการย้ายไปเล่นให้ บอร์กโดซ์ ในดิวิชั่น 4 ของแดนน้ำหอม
และในฤดูกาลนี้ เขาได้หวนคืนสู่ฟุตบอลอังกฤษอีกครั้ง หลังย้ายมาเล่นให้ ดาเกนแฮม แอนด์ เรดบริดจ์ ในเนชันแนลลีกนอร์ธ หรือ ดิวิชั่น 6 ของอังกฤษ

ทั้งนี้ แคร์โรลล์ ยอมรับว่าการย้ายไป ลิเวอร์พูล เมื่อ 10 กว่าปีก่อน อาจเป็นจังหวะที่ผิดพลาดในชีวิต และมันก็ยังคงส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจของเขาเป็นอย่างมาก
“ผมเซ็นสัญญากับ ลิเวอร์พูล ตอนที่ยังบาดเจ็บ และมันก็เป็นเวลาที่ผมยังไม่อยากไป ผมเกือบจะต่อสัญญากับนิวคาสเซิลด้วยซ้ำ” แคร์โรลล์ ย้อนความหลัง
“มันยากมาก ผมมีปัญหาด้านร่างกาย ผมยังเด็ก อายุแค่ 21 ผมคิดว่าถ้าผม ถ้าผมไป ลิเวอร์พูล หลังจากนั้น เติบโตขึ้นมากกว่านั้น มันอาจจะดีกว่าเดิม บางทีผมอาจจะดีไม่พอ บางทีผมอาจจะโตไม่พอ”
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากตัดใจจากฟุตบอลที่เขารัก เพราะมันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาอยากมีชีวิตต่อไป แม้ว่าโลกจะโหดร้ายกับเขาแค่ไหนก็ตาม
“ผมเคยหมดอาลัยตายอยากกับทุกสิ่ง ผมรู้สึกสิ้นยินดีมาก ผมไม่อยากออกจากบ้าน ถ้าออกไปผมต้องสวมหมวก ผมเกลียดทุกอย่าง เกลียดทุกคน ผู้คนดูถูกผมในทุกที่ที่ผมไป บอกผมว่าผมควรจะเลิกเล่น และรับเงินไปซะ” แคร์โรลล์กล่าว
“แต่ผมยังคงรักฟุตบอล เหมือนวันแรก เพราะมันทำให้ผมมีชีวิตอยู่ มันเป็นความฝันของผมตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ชมเกม ผมรู้ว่าจุดจบมันกำลังจะมาถึง และเมื่อมันยิ่งมาถึงเมื่อไร ผมจะพยายามสนุกกับมัน และหวังว่าจะเล่นได้จนถึงอายุ 40 ”