แม้ว่า โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ จะถูกขนานนามว่า “นักเตะอียิปต์ที่เก่งที่สุดในพรีเมียร์ลีก” แต่ก่อนหน้านั้นก็เคยมีรุ่นพี่ในทีมชาติ ที่มาเคยสร้างปรากฎการณ์ในลีกแดนผู้ดีมาก่อน
อาเมอร์ ซากี คือคนนั้น เขาย้ายมาเล่นให้ วีแกน แอธเลติก ที่ขณะนั้นเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ก่อนจะยิงไป 10 ประตูจากแค่ 16 เกม จนถูกยกย่องว่าเก่งกว่า ลิโอเนล เมสซี และตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับ เรอัล มาดริด
ทว่า เขากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นกับดาวยิงรายนี้ ติดตามไปพร้อมกัน
รุ่นพี่ซาลาห์
2008 คือปีที่ทั้งโลกมองไปที่ อียิปต์ เพราะนอกจากพวกเขาจะคว้าแชมป์แอฟริกัน คัพออฟเนชั่น ในปีดังกล่าวแล้ว ยังเป็นการแจ้งเกิดดาวยิงคนใหม่นามว่า อาเมอร์ ซากี ที่ซัดไป 4 ประตูในทัวร์นาเมนต์
เพราะ 4 ประตูดังกล่าวทำให้ ซากี มีสถิติยิงไป 27 ประตูจาก 48 นัดให้อียิปต์และทำให้เขากลายเป็น “กองหน้าที่ดีที่สุดในโลก” จากการจัดอันดับของฟีฟ่า หลังมีสถิติการยิงประตูเฉลี่ยในทีมชาติ 0.56 ลูก ต่อนัด มากกว่าแข้งระดับโลกคนอื่นในช่วงเวลาเดียวกัน
ไม่เพียงเท่านั้นในระดับสโมสรกับ ซามาเล็ค ในฤดูกาล 2007/08 ซากี ยังยิงไปถึง 11 ประตูจาก 22 นัด จนทำให้ได้รับความสนใจจากหลายทีมในยุโรป
แต่สุดท้ายก็กลายเป็น วีแกน ที่คว้าตัวเขามาได้อย่างเซอร์ไพรส์ ด้วยสัญญายืมตัวสูงถึง 1.5 ล้านปอนด์ ในช่วงตลาดนักเตะหน้าร้อน 2008/09
“ตอนที่ (สตีฟ บรูซ - กุนซือวีแกน) พูดถึงเขาครั้งแรก ผมคิดว่า ‘กองหน้าจากอียิปต์เนี่ยนะ แปลกๆ นะ’” เดฟ วีแลน ประธานสโมสรวีแกน กล่าว
แต่แค่เพียงนัดแรก ซากี ก็ทำให้ข้อสงสัยทั้งหมดที่มีต่อตัวเขาหมดลง ด้วยการประเดิมสกอร์แรกในพรีเมียร์ลีก ในเกมกับ เวสต์แฮม ก่อนที่ 2 สัปดาห์ต่อมาเขาจะทำ 2 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ ช่วยให้ วีแกน ถล่ม ฮัลล์ ซิตี้ ไปอย่างขาดลอย 5-0
ผลงานดังกล่าวทำให้ดาวยิงชาวอียิปต์ กลายเป็นขวัญใจแฟน วีแกน อย่างรวดเร็ว และเขาก็ตอบแทนด้วยประตูในเกมกับ ซันเดอร์แลนด์ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมทำสถิติยิงไป 5 ประตูจาก 6 นัดแรก นำเป็นดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก
“ร่างกายของเขาสุดยอดมาก เขามีพลังและความเร็วที่ยอดเยี่ยม และแน่นอนเขาอยากยิงประตู เพราะมันคือสิ่งสำคัญ เขาเป็นคนที่มีชีวิตชีวา ผมดีใจที่ได้ร่วมงานกับเขา” บรูซ กล่าวถึงลูกทีมคนใหม่
และเมื่อเวลาผ่านไป ฟอร์มของ ซากี ดูจะหยุดไม่อยู่ หนึ่งในนั้นคือการทำ 2 ประตูใส่ ลิเวอร์พูล แม้ลูกแรกจะเป็นการฉวยจากความผิดพลาดของคู่แข่ง แต่ลูกที่สองคือการยิงวอลเลย์แบบงามหยด แบบเข้าชิงประตูยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกได้สบาย

แน่นอนว่าด้วยฟอร์มอันโดดเด่นของ ซากี ทำให้เขาได้รับความสนใจจากทั้ง ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด รวมถึงถูกยกย่องว่า “ดีกว่า ลิโอเนล เมสซี” จาก มัมดู อับบาส ประธานสโมสร ซามาเล็ค
รายงานระบุว่า วีแกน ได้ยื่นข้อเสนอ 8 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว ซากี มาร่วมทีมถาวร แต่ อับบาส ยืนยันว่าต้องได้ค่าตัวไม่ต่ำกว่า 250 ล้านปอนด์อียิปต์ หรือราว 25 ล้านปอนด์ เท่านั้น
ก่อนที่ทุกอย่างจะหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พังเพราะตัวเอง
หลังจากซักประตูสุดสวยในเกมกับ ลิเวอร์พูล ดาวยิงชาวอียิปต์ ยังยิงได้อีก 3 ประตู ที่ทำให้เขาซัดครบ 10 ลูกก่อนปีใหม่ พร้อมขึ้นมาอยู่หัวแถวตารางดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก
ทว่าหลังจากนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหว
ในช่วงตลาดนักเตะหน้าหนาว บรูซ ปรับทัพในแดนหน้าใหม่ ด้วยการขาย เอมิล เฮสกีย์ และ อองรี กามารา ออกไป และแทนที่ด้วย ฮูโก โรดาเยลกา รวมถึง มิโด้ กองหน้าบ้านเดียวกับ ซากี
ทว่า มันกลับเลวร้ายกว่าเดิม เมื่อ วีแกน ยิงได้เพียงแค่ 10 ประตูหลังจากนั้น ส่วน ซากี ไม่มีชื่ออยู่บนสกอร์บอร์ดอีกเลย
ด้วยฟอร์มดังกล่าว ทำให้ในเดือนเมษายน ซากี ตกเป็นเป้าในการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง รวมไปถึง บรูซ กุนซือของทีม ที่ออกมาตั้งคำถามกับความเป็นมืออาชีพของเขา
“ผมพูดได้เลยว่าตลอดชีวิตในโลกฟุตบอล ผมไม่เคยทำงานกับคนที่ไม่เป็นมืออาชีพขนาดนี้ เขาไม่เคารพสโมสร ที่จ่ายค่าจ้างอย่างงามให้เขา” กุนซือชาวอังกฤษกล่าว
“นี่เป็นครั้งที่ 4 แล้ว ที่เขาไม่มารายงานตัวหลังกลับจากการซ้อมกับทีมชาติ ผมปรับเขาจนเต็มโควต้าแล้ว แต่ดูเหมือนว่ามันไม่มีผลอะไร”

ขณะที่ มิโด้ เพื่อนร่วมทีมชาติ ก็ออกมากระทุ้ง ซากี เช่นกันว่าอย่าหลงระเริงไปกับความสำเร็จชั่วคราว ที่อาจจะทำลายชีวิตนักเตะของตัวเองต่อจากนี้
“ผมแค่อยากจะบอก (ซากี) ว่า ความสำเร็จในยุโรป ไม่ใช่แค่การเล่นดีไม่กี่เดือน และยิงประตูได้ประมาณหนึ่งนะ” อดีตกองหน้าสเปอร์ส กล่าว
เมื่อเวลาผ่านไป บรูซ ก็เริ่มหมดความอดทนกับกองหน้าชาวอียิปต์รายนี้ และเลือกที่จะไม่เซ็นสัญญาถาวร ด้วยปัญหาเรื่องวินัยเป็นสำคัญ
“เขามีปัญหาส่วนตัวมากในชีวิต คุณคงต้องถาม ซากี เองว่า ทำไมเขาเลือกเดินไปเส้นทางนั้น” บรูซกล่าว
“ผมเสียใจจริงๆ และเราก็สรุปกันว่า ทางที่ดีที่สุดคือไม่เซ็นสัญญา และเดินหน้าต่อไป”
สุดท้าย ซากี ก็ต้องกลับไป ซามาเล็ค และปล่อยให้การตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับ มาดริด เป็นเพียงแค่ความทรงจำที่เลือนราง
เขามีผลงานที่ไม่เหมือนเดิมตอนกลับไปเล่นในบ้านเกิด และยิงไปเพียง 10 ประตูจาก 25 นัดตลอด 2 ฤดูกาล และแม้จะได้กลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีก กับ ฮัลล์ ซิตี้ แต่ก็ไม่มีผลงานที่น่าจดจำ เมื่อยิงประตูไม่ได้เลยจากการลงเล่น 6 เกม
แม้ว่าในช่วงท้ายของการค้าแข้ง ซากี จะได้ออกมาผจญภัยในต่างแดนอีกครั้ง ไล่ตั้งแต่ ตุรกี, คูเวต, โมร็อคโก หรือ เลบานอน แต่ก็ไม่มีที่ไหนใกล้เคียงกับความสำเร็จ ก่อนจะแขวนสตั๊ดไปในปี 2015 ด้วยวัย 32 ปี

อันที่จริงในวันที่อำลา วีแกน เขาอายุเพียงแค่ 26 ปีเท่า เรียกว่ายังมีอนาคตไกล แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้น เขายิงได้เพียงแค่ 9 ประตู จาก 6 ปีหลังจากนั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ซากี เป็นภาพสะท้อนที่ดีว่า การทำผลงานได้โดดเด่น ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีความสำเร็จ แต่สิ่งสำคัญคือการรักษามาตรฐานของตัวเอง และยืนระยะให้ได้อย่างมืออาชีพ
ด้วยเหตุนี้ การที่ ซากี มาไวไปเร็วจึงไม่ใช่อาการบาดเจ็บหรือเรื่องฝีเท้า แต่เป็นตัวเขาเอง ที่กลายเป็นอุปสรรคสำคัญให้กองหน้า ที่ครั้งหนึ่งถูกขนานนามว่าดีที่สุดในโลก ต้องเจิดจรัสและดับแสงลงในชั่วพริบตา…ราวกับดอกไม้ไฟ
บทความที่เกี่ยวข้อง
บันไดสู่แข้งยอดเยี่ยม: เคล็ดลับความฟิต โม ซาลาห์ ในวัย 33 ปี
ฟอร์มไม่เหมือนเดิม! คาราเกอร์ ชี้ ถึงเวลาแล้วที่ต้องดร็อป ซาลาห์ บ้าง
อาถรรพ์ที่แก้ไม่หาย: ย้อนสถิติ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เมื่อเล่นนัดชิงชนะเลิศกับทั้งอียิปต์และลิเวอร์พูล