One Hit Wonder :ปาฏิหาริย์ 2014 ที่ไม่เคยหวนกลับ ชะตา “ฮาเมส” หลังแจ้งเกิดในบอลโลก

Maruak Tanniyom

One Hit Wonder :ปาฏิหาริย์ 2014 ที่ไม่เคยหวนกลับ ชะตา “ฮาเมส” หลังแจ้งเกิดในบอลโลก image

มันคือประตูที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ฮาเมส โรดริเกซ ไปตลอดกาล 

จากจังหวะที่ อาเบล อากีญา โหม่งตั้งมาให้ ฮาเมส ได้พักอกก่อนจะเอี้ยวตัววอลเลย์แบบไม่ตกพื้น บอลพุ่งเช็ดคานเข้าไปอย่างสวยงาม ให้โคลอมเบีย ออกนำ อุรุกวัย ในฟุตบอลโลก 2014 รอบ 16 ทีมสุดท้าย 

ประตูดังกล่าว ไม่เพียงถูกเลือกให้เป็นประตูยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ (รวมถึงประตูยอดเยี่ยมแห่งปี 2014 ) เท่านั้น แต่มันยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ฮาเมส ก้าวไปคว้าตำแหน่งดาวซัลโวฟุตบอลโลก และกลายเป็นแข้งน่าจับตา ที่น่าจะประสบความสำเร็จในอนาคต

ทว่า มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เกิดอะไรกับดาวเด่นจากเวิลด์คัพรายนี้? ติดตามไปพร้อมกัน 

ฮาเมส ไม่ใช่ เจมส์ 

ฮาเมส หรือที่ก่อนหน้านั้นผู้คนต่างเรียกว่า เจมส์ โรดริเกซ เป็นนักเตะมีฉายแววอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็กๆ หลังได้ประเดิมสนามกับ เอนวิกาโด ทีมในลีกรองของบ้านเกิด ตั้งแต่อายุ 14 ปี และเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยสุดอันดับ 2 ที่ได้ลงเล่นในลีกโคลอมเบีย 

เส้นทางอาชีพของเขาค่อนข้างเติบโตไปตามสเต็ป ไล่ตั้งแต่ย้ายไปค้าแข้งกับ แบนฟิลด์ ในลีกอาร์เนตินา ตอนอายุ 16 ประเดิมลงเล่นตอนอายุ 17 ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งในยุโรปกับ เอฟซี ปอร์โต ในปี 2010 ในวัย 19 ปี 

“สิ่งที่ผมจำได้แม่นตั้งแต่เด็กคือ ผมอยากได้ลูกบอล ผมคิดเรื่องการเล่นฟุตบอลอยู่เสมอ” โรดริเกซ กล่าว

แม้ว่า แข้งชาวโคลอมเบีย จะมีผลงานที่ไม่เลวกับปอร์โต หลังทำไป 32 ประตูกับ 42 แอสซิสต์ จนได้ย้ายไปอยู่กับ โมนาโก ด้วยค่าตัวสูงถีง 45 ล้านปอนด์ แต่ก่อนฟุตบอลโลก 2014 เขาถูกมองว่าเป็นหนึ่งในดาวรุ่งน่าจับตาเท่านั้น

 

จนกระทั่งทัวร์นาเมนต์ที่บราซิลเปิดฉากขึ้น โรดริเกซ ที่สวมหมายเลข 10 ในทีมชาติโคลอมเบีย ก็ทำให้ทั้งโลกมามองที่เขา เริ่มจากประตูทดเจ็บในเกมกับกรีซ ต่อด้วยลูกโหม่งเต็มหัวในเกมกับ ไอวอรี โคสต์ และปิดท้ายด้วยลูกชิพอย่างเหนือชั้นในเกมถล่มญี่ปุ่น 

แต่สิ่งที่สร้างชื่อให้เขามากที่สุด คือรอบ 16 ทีมกับ อุรุกวัย จากจังหวะที่ อาเบล อากีญา โหม่งตั้งมา เขาแต่งบอลด้วยอก ก่อนเอี้ยวตัววอลเลย์ บอลพุ่งมุดเสียบคานให้ โคลอมเบียออกนำ 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 28

มันแสดงให้เห็นถึงทักษะการจับบอลที่นุ่มนวล และไหวพริบในการตัดสินใจ จนทำให้ประตูดังกล่าวได้รับเลือกประตูยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ รวมถึงประตูยอดเยี่ยมแห่งปี หรือ ปุสกัส อวอร์ด ในปี 2014 อีกด้วย 

แต่เขาไม่ได้หยุดแค่นั้น เมื่อในนาทีที่ 50 เจ้าตัวมาบวกสกอร์เพิ่ม จากจังหวะสอดเข้ามาชาร์จหน้าปากประตู และช่วยให้ โคลอมเบีย ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์ 2-0 

ด้วยผลงาน 5 ประตูจาก 4 เกม ทำให้เขากลายเป็นชื่อที่ทุกคนพูดถึง จนถึงขนาดทำให้ ไคลฟ์ ไทเดสลีย์ ผู้บรรยายจากช่อง ITV ต้องออกมา แก้ว่าชื่อเขาควรอ่านว่า ฮาเมส ไม่ใช่ เจมส์ อย่างที่หลายคนเข้าใจผิดกัน 

ฮาเมส ยังคงเดินหน้ายิงประตูอย่างต่อเนื่องในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ บราซิล แต่น่าเสียดายที่ โคลอมเบียต้องจอดป้ายเพียงแค่รอบนี้ หลังพ่ายไปด้วยสกอร์ 2-1 

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังเพียงพอที่จะทำให้แข้งหมายเลข 10 คว้ารางวัลดาวซัลโวฟุตบอลโลก หลังยิงไป 6 ประตูจาก 5 เกม และกลายเป็นนักเตะที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในทัวร์นาเมนต์ที่บราซิล ในระดับที่มากกว่า ลิโอเนล เมสซี ที่คว้ารางวัลแข้งยอดเยี่ยมเสียอีก 

“โรดริเกซ คือนักเตะที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้” ดิเอโก มาราโดนา ตำนานทีมชาติอาร์เจนตินากล่าว 

แน่นอนว่ามันทำให้ ฮาเมส กลายเป็นแข้งเนื้อหอม จนได้รับความสนใจจากทีมดังในยุโรป รวมถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่สุดท้าย เขาก็เลือก เรอัล มาดริด ที่ทุ่มเงินสูงถึง 63 ล้านปอนด์ แพงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกในขณะนั้น เพราะนี่คือโอกาสทำให้ฝันเป็นจริง 

“ผมเคารพสโมสรอื่นมาก และชื่นชมวิธีการเล่นฟุตบอลของพวกเขา แต่ เรอัล มาดริด ก็คือ เรอัล มาดริด ผมชอบพวกเขามาตลอด นี่คือความฝันสูงสุดในชีวิตของผม” ฮาเมส กล่าวในวันเซ็นสัญญา 

ก่อนที่มันจะกลานเป็นฝันร้าย 

แข้งพเนจร 

อันที่จริงในปีแรกกับ มาดริด เขาก็ทำผลงานได้ไม่เลวภายใต้การคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ หลังทำไป 17 ประตูกับ 18 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 46 นัดในทุกรายการ จนได้รับเลือกให้เป็นมิดฟิลด์ยอดเยี่ยมแห่งปี ลาลีกา 2014/15 

แต่ปัญหาก็เริ่มก่อตัว หลัง อันเชล็อติ ถูกปลดจากตำแหน่งหลังจบฤดูกาลนั้น และผู้มาใหม่อย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ ไม่เชื่อใจในตัวเขา เช่นกันกับ ซีเนดีน ซีดาน โค้ชคนต่อมา ที่มองว่า ฮาเมส ไม่เข้ากับระบบ 

นอกจากนี้ เขายังมีอาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง ที่ทำให้ความฟิตเริ่มลดลง และมันก็ไม่พอสำหรับ มาดริด ที่ผู้เล่นทุกคนต้องฟิตเสมอ และพร้อมจะมีคนมาแทนที่อยู่ตลอด 

แม้ว่านับตั้งแต่ปี 2015 เขาจะยังคงได้ลงเล่นในระดับ 20+ ต่อฤดูกาล แต่หากคิดเป็นนาทีถือว่าไม่มาก ยกตัวอย่างเช่นฤดูกาล 2016/17 ฮาเมสได้ลงเล่นไปเพียง 1,825 นาทีจาก 33 นัด หรือเฉลี่ย 55 เกมต่อนัด 

ทำให้ในปี 2017 ในวัย 26 ปี ฮาเมส ตัดสินใจย้ายออกจากทีมในฝัน ด้วยการไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค ที่มีอดีตบอสอย่าง อันเชล็อตติ เป็นกุนซือ ด้วยสัญญายืมตัว 2 ปี 

เขาทำผลงานได้ไม่เลว ในสีเสื้อของ บาเยิร์น ด้วยการซัดไป 15 ประตูกับ 20 แอสซิสต์ ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัย และ เดเอฟเบ โพคาล อีกสมัย รวมถึงถูกเลือกติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปี ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และ บุนเดสลีกา ฤดูกาล 2017/18 

ฟอร์มที่ยอดเยี่ยม ทำให้ บาเยิร์น อยากจะได้ตัว ฮาเมส เป็นการถาวร แต่เขากลับปฏิเสธโอกาสนี้ ด้วยเหตุผลว่าไม่ชอบระบบอาวุโส ของที่นี่ 

แต่การกลับไปยัง มาดริด ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เมื่อ ซีดาน กลับมาคุม ราชันชุดขาว ในเดือน มีนาคม 2019 และทำให้ ฮาเมส ได้รับโอกาสลงสนามในลาลีกา ไปเพียงแค่ 8 เกมเท่านั้น 

สุดท้ายการย้ายออกคือคำตอบ มิดฟิลด์ชาวโคลอมเบีย สร้างเซอร์ไพรส์ ด้วยการไปอยู่กับ เอฟเวอร์ตัน ที่มี อันเชล็อตติ เจ้านายเก่าคุมทีม ในปี 2020 

“ผมขอพูดอย่างจริงใจว่า ถ้า คาร์โล ไม่ได้อยู่ที่นี่ ผมคงไม่มา ผมพูดจากหัวใจว่าเขาคือเหตุผลที่ทำให้ผมมาที่นี่” ฮาเมสกล่าว 

อันที่จริง ฮาเมส ก็ทำผลงานได้ไม่เลวกับ เอฟเวอร์ตัน ด้วยสถิติ 9 ประตูกับอีก 6 แอสซิสต์ แต่ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง ทำให้ทีมขายเขาให้ อัล รอยยาน ในลีกกาตาร์ หลังจบฤดูกาล  

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นแข้งพเนจรของเขา เมื่อหลังจากนั้น ดาวเตะชาวโคลอมเบีย แทบไม่เคยอยู่ทีมไหนได้เกิน 2 ปี ไม่ว่าจะเป็น โอลิมเปียกอส (กรีซ), เซา เปาโล (บราซิล), ราโย บาเยกาโน (สเปน) และเพิ่งถูกปล่อยตัวจาก ลีออน ในเม็กซิโก 

แน่นอนว่าปัญหาของ ฮาเมส ไม่ใช่ฝีเท้า แต่คือทัศนคติเมื่อลงสนาม เขามักจะถูกโจมตีว่าเป็นผู้เล่นจอมขี้เกียจ และไม่มีสมาธิ ตอนอยู่เอฟเวอร์ตัน เขายอมรับว่าแทบไม่รู้ว่าสุดสัปดาห์นี้จะเจออะไร และมันก็เป็นเช่นนี้มาตลอดชีวิตนักเตะอาชีพ

“เด็กคนนี้ไม่มีสมาธิเลย แทนที่จะเตรียมพร้อมสำหรับฤดูกาลใหม่ เขากลับใช้เวลาไปกับการแต่งคิ้วและทรงผม ทั้งที่ควรทุ่มเทกับงาน” เฮคเตอร์ ฟาบิโอ ครูซ อดีตทีมแพทย์ของ ทีมชาติโคลอมเบียกล่าว 

“ทีมใหญ่อย่าง มาดริด คาดหวังความเป็นมืออาชีพ คนอื่นเขาเตรียมตัวกัน แต่เด็กคนนี้ไม่มีวินัยเลย” 

ด้วยวัย 34 ปี ทำให้ยากที่ ฮาเมส จะกลับมาอยู่ในจุดเดิมได้อีกครั้ง และนี่ก็คือชะตากรรมของชายที่เคยสร้างความสั่นสะเทือนทั้งโลก เมื่อ 11 ปีก่อน ที่กำลังจะจางหายไปอีกคน  

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

Senior Editor