เรียกได้ว่าเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ของฟุตบอลญี่ปุ่น เมื่อขุนพลซามูไรจัดการเอาชนะบราซิลไปได้ 3-2 กลายเป็นชัยชนะครั้งแรกของทีมชาติชุดใหญ่ ที่มีต่อชาติที่พวกเขาให้การนับถือเป็นเหมือนอาจารย์ในโลกลูกหนัง
ทั้งนี้ ความสำเร็จดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นมาจากการวางรากฐาน และพัฒนาอย่างมีระบบเท่านั้น แต่แรงบันดาลใจก็มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้ญี่ปุ่นก้าวมาอยู่ในจุดนี้
และหนึ่งในผู้มีคุณูปการก็คือ มูซาชิ มิซึชิมะ นักเตะญี่ปุ่นที่เดินทางไปร่ำเรียนศาสตร์ลูกหนังถึงบราซิล จนกลายเป็นแข้งบูชิโดคนแรกในลีกแดนแซมบ้า และว่ากันว่าเป็นต้นแบบของ “โอโซระ สึบาสะ” ตัวเอกจากมังงะกัปตันสึบาสะ
ติดตามเรื่องราวของเขาไปพร้อมกัน
ญี่ปุ่นคนแรกในบราซิล
สำหรับแฟนบอลรุ่นหลัง อาจจะไม่คุ้นชื่อของ มิซึชิมะ มากนัก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเขาคือนักเตะญี่ปุ่นที่มาก่อนกาล ที่มีความสนใจในเกมลูกหนังตั้งแต่ที่ฟุตบอลยังไม่ได้รับความนิยมในประเทศ
มิซึชิมะ ถือกำเนิดที่โตเกียวในปี 1964 ปี ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก เขารู้จักฟุตบอลครั้งแรกตอนอายุ 3 ขวบ และเล่นมาตลอดหลังจากนั้น จนกระทั่งอายุ 5 ขวบ เขาก็สามารถข้ามขึ้นขึ้นไปเล่นกับเด็ก ป.6 (12 ปี) ได้อย่างกลมกลืน
ด้วยความที่พ่อของเขาเห็นแววในด้านนี้ ทำให้ตอน มิซึชิมะ ขึ้นชั้นประถม เขาจึงถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนประถมฟูจิเอดะ จังหวัดชิซึโอกะ โรงเรียนที่ขึ้นชื่อในด้านฟุตบอล ก่อนจะย้ายไปเรียนที่ประถมชิมิซึ โรงเรียนที่แกร่งที่สุดในฟุตบอลระดับประถมญี่ปุ่น ในปี 1972
"โรงเรียนประถมสึจิมีชมรมฟุตบอลที่อยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศในรุ่นประถม แต่ถึงอย่างนั้น ว่ากันว่ามิซึชิมะ ที่อยู่ ป.3 ก็มีเทคนิคที่สามารถลงแข่งกับเด็กที่อายุมากกว่าได้อย่างสบาย" ฮิราบายาชิ โทชิฮิโกะ ผู้เขียนหนังสือ "มูซาชิ เด็กอายุ 17 ที่ออกไปท้าทายโลก" กล่าวในหนังสือ
แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อการมาอยู่ที่ ชิมิซึ ทำให้ฝีเท้าของ มิซึชิมะ พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และเมื่อเขาอายุ 10 ขวบ พ่อของเขาที่หลงใหลในฟุตบอลบราซิลอยู่แล้ว ก็ตัดสินใจส่งเขาไปเรียนศาสตร์ลูกหนังที่นั่น
เขาได้ไปอยู่ในทีมเยาวชนของ เซา เปาโล เอฟซี โดยอาศัยกินนอนอยู่ที่บ้านคนบราซิล เชื้อสายญี่ปุ่น ที่ทำให้เขาได้เรียนในโรงเรียนท้องถิ่น จนได้ซึมซับกับภาษาและวัฒนธรรมของบราซิล นอกจากการเล่นฟุตบอล
ในตอนนั้นชีวิตของ มิซึชิมะ ดูจะไปได้สวยในแดนแซมบ้า เมื่อเขาที่เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกและกองหน้า กลายเป็นกำลังสำคัญให้กับทีม U12 ของ เซา เปาโล แถมยังยิงประตูได้อย่างต่อเนื่องจนคว้ารางวัลดาวซัลโว และนักเตะยอดเยี่ยมมาครองได้อีกหลายครั้ง
ผลงานอันโดดเด่น ยังทำให้ มิซึชิมะ ได้เลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในระดับอายุที่สูงกว่าอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี 1978 เขาจะขึ้นไปอยู่ในทีม U18 ทั้งที่อายุเพียง 14 ปี แถมยังได้แต่งตั้งเป็นกัปตันของทีมชุดนั้นในเวลาต่อมา
🎂🎉 Hoje é aniversário de Musashi Mizushima, atleta japonês do time campeão paulista de 1985 e uma das fontes de inspiração para a criação de Oliver Tsubasa, de Supercampeões.
— São Paulo FC (@SaoPauloFC) September 10, 2021
Felicidades! 🥳🇾🇪 pic.twitter.com/nu9DibjKRs
จนกระทั่งในปี 1984 ตอน มิซึชิมะ อายุครบ 20 ปี เขาก็ได้เซ็นสัญญาอาชีพอย่างเป็นทางการกับ เซาเปาโล พร้อมกลายเป็นนักเตะสัญชาติญี่ปุ่นคนแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลบราซิล
นอกจากนี้ การเซ็นสัญญาในครั้งนั้น ยังทำให้เขากลายเป็นนักเตะชาวญี่ปุ่นคนที่ 3 ที่ได้เซ็นสัญญาอาชีพต่อจาก ยาสุฮิโกะ โอคุเดระ อดีตกองกลาง โคโลญจน์ และ คาสุโอะ โอซากิ อดีตกองหน้า อาร์มิเนีย บีเลเฟลด์
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ด้วยเส้นทางชีวิตเช่นนี้ ยังทำให้เขาถูกมองว่าน่าจะเป็นแรงบันดาลใจ และต้นแบบของ โอโซระ สึบาสะ ตัวเอกจากมังงะกัปตันสึบาสะ ของ โยอิจิ ทาคาฮาชิ ที่โด่งดังในช่วงเวลาเดียวกัน
เหมือนมังงะแค่ไหน?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ทำให้ มิซึชิมะ ถูกเชื่อมโยงเข้ากับ สึบาสะ ก็เส้นทางชีวิตของทั้งคู่ที่มีส่วนคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่ทั้งคู่เป็นคนต่างถิ่นที่ย้ายมาอยู่ในจังหวัดชิซึโอกะ การเล่นในตำแหน่งเดียวกัน ไปจนถึงฝีเท้าที่โดดเด่นเกินวัยเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือความเกี่ยวข้องกับฟุตบอลบราซิล ที่ทั้งคู่เกือบจะได้ไปเรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังในช่วงอายุที่ไล่เลี่ยกัน
แม้ว่าในมังงะ สึบาสะ จะได้ไปเรียนต่อที่บราซิล หลังจบมัธยมต้น (อายุ 15 ปี) ต่างจาก มิซึชิมะ ที่ไปตอนอายุ 10 ขวบ แต่ความเป็นจริง ตอนจบ ป.6 ตัวเอกจากมังงะ ก็เกือบได้ไปที่นั่น ตามคำชวนของ โรแบร์โต ฮอนโง เพียงแต่มาโดนอาจารย์ของเขาผิดสัญญาไปเสียก่อน
แถมตอนวางโครงเรื่อง อาจารย์ทาคาฮาชิ ยังยอมรับว่า ตอนแรกเขาจะให้ สึบาสะ ไปบราซิล แต่ด้วยความโด่งดังของ ฮิวงะ โคจิโร ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผน
"หลังจากศึกชิงแชมป์แห่งชาติประถม โรแบร์โตตั้งใจที่จะพาซึบาสะไปบราซิลด้วยกัน ผมได้ร่างคู่ต่อสู้ใหม่ที่บราซิลของเขาไว้แล้ว" ทาคาฮาชิอธิบาย Davinci News
"แต่ตอนที่เปิดตัวฮิวงะ โคจิโร ครั้งแรก เขากลายเป็นคู่ต่อสู้ที่ได้รับความนิยม เนื่องจากผมเองวาดเองก็สนุกเอง เลยอยากลองให้สึบาสะได้สู้กับพวกเขาอีกครั้ง ดังนั้นก็เลยมีแต่โรแบร์โตเท่านั้นที่กลับบราซิลไป"

เมื่อมาเทียบไทม์ไลน์ ก็ยิ่งเห็นชัด เพราะ มิซึชิมะ ไปบราซิล ในปี 1975 ส่วนเหตุการณ์ที่ สึบาสะ เกือบได้ไปบราซิล เกิดขึ้นในตอน 49 ของภาคแรก ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1981 หรือหลังจากนั้น 6 ปี
แต่สิ่งที่ทำให้เชื่อว่า มิซึชิมะ คือต้นแบบของ สึบาสะ คือการที่ทั้งคู่ได้เซ็นสัญญาอาชีพกับ เซา เปาโล เหมือนกัน แถมช่วงเวลายังเกิดขึ้นห่างกันพอสมควร
เนื่องจากตอนที่ มิซึชิมะ ได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ เกิดขึ้นในปี 1984 ขณะที่เรื่องราวของ สึบาสะ เกิดขึ้นในภาค เวิลด์ ยูธ หรือภาคเยาวชนโลก ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1994 หรือหลังเกตุการณ์จริง 10 ปี
นอกจากนี้ แม้ว่าอาจารย์ทาคาฮาชิ จะไม่เคยยอมรับในเรื่องนี้ แต่แหล่งข้อมูลหลายแห่งก็ระบุตรงกันว่า มิซึชิมะ คือต้นแบบของ สึบาสะ จนถึงขนาด gekisaka สื่อดังญี่ปุ่นเคยพาดหัวว่า “โค้ชมิซึชิมะ ต้นแบบกัปตันสึบาสะ ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุนซือคนใหม่ของ MYFC ฟูจิเอดะ” เมื่อปี 2022

อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่ชีวิตหลังจากนั้นของ มิซึชิมะ ต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะเขากลับไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงใน เซา เปาโล ที่เต็มไปด้วยแข้งทีมชาติบราซิล ในตอนนั้นได้ แถมยังถูกสกัดดาวรุ่งจากโควต้าต่างชาติ ที่ลงสนามได้แค่ 1 คนต่อทีม
ทำให้สุดท้าย เขาต้องย้ายออกจาก เซา เปาโล และไปเล่นให้อีกหลายทีมในบราซิล แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนจะกลับมาเล่นในญี่ปุ่นในปี 1989 และแขวนสตั๊ดในอีก 3 ปีต่อมาด้วยวัยเพียง 28 ปี หลังได้รับบาดเจ็บหนัก
แม้ว่าสุดท้าย เขาอาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จกับชีวิตในลีกบราซิล แต่ถึงอย่างนั้น มิซึชิมะ ก็ยังได้รับการยกย่องในฐานะผู้บุกเบิก และอยากที่จะเดินตามรอยเขาอีกมากมายหลังจากนั้น
มันคือความมุ่งมั่น และความกล้าในการออกไปท้าทายโลก ตั้งแต่อายุยังน้อย จนทำให้เขากลายเป็นหมุดหมายสำคัญหมุดหมายหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลญี่ปุ่น