ซัดไปเกินค่อนทีม : สโมสรดัตช์ทุบสถิติเปลี่ยนสำรอง 8 คนในเกมเดียว

Maruak Tanniyom

ซัดไปเกินค่อนทีม : สโมสรดัตช์ทุบสถิติเปลี่ยนสำรอง 8 คนในเกมเดียว  image

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในฟุตบอลยุคปัจจุบัน การเปลี่ยนตัวกลายเป็นหนึ่งในแทคติกสำคัญของการแข่งขัน หลังสามารถเปลี่ยนผู้เล่นสำรองได้ถึง 5 คนในแต่ละเกม

แต่มันอาจเทียบไม่ได้กับ โก อเฮด อีเกิ้ลส์ สโมสรในลีกเนเธอร์แลนด์ เมื่อพวกเขาเปลี่ยนนักเตะลงสนามถึง 8 คนในเกมเดียว 

พวกเขาทำได้อย่างไร ผิดกฎหรือไม่? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน 

เปลี่ยนได้ 5 แต่จัดไป 8  

อันที่จริงการเปลี่ยนตัวผู้เล่นลงสนาม มีประวัติศาสตร์มาอย่างอย่างยาวนาน โดยเริ่มจากการเปลี่ยนตัวได้เฉพาะเมื่อมีผู้เล่นบาดเจ็บได้ 1 คนในช่วงทศวรรษ 1950s-1960s มาเป็น 2 คนในปี 1988 และ 3 คนในช่วงทศวรรษที่ 1990s 

โควต้าเปลี่ยนตัว 3 คนถูกใช้มาอย่างยาวนานมากว่า 20 ปี จนกระทั่งในปี 2020 ผลต่อเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้คณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ หรือ IFAB อนุญาตให้เปลี่ยนผู้เล่นเพิ่มเป็น 5 คนเป็นการชั่วคราว 

เหตุผลก็คือในช่วงโควิด ฟุตบอลต้องพักเบรกการแข่งขัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ทำให้หลังจากสถานการณ์คลี่คลาย นักเตะต้องลงสนามถี่ขึ้น เพื่อชดเชยโปรแกรมที่หยุดไป 

แน่นอนว่า มันทำให้นักเตะต้องกรำศึกหนัก และเผชิญกับความเหนื่อยล้า การเปลี่ยนได้ถึง 5 คน (ใน 3 ครั้ง) จึงเป็นแนวทางที่จะน่าจะช่วยลดภาระดังกล่าว 

แต่หลังจากนำกฎนี้มาใช้ ก็เกิดเสียงตอบรับในแง่บวก เพราะนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บของผู้เล่นแล้ว ยังทำให้โค้ชมีความยืดหยุ่นในระหว่างการแข่งขันอีกด้วย 

Manchester City substitution

ทำให้นับตั้งแต่ปี 2022 ลีกใหญ่ก็เริ่มใช้กฎเปลี่ยนตัว 5 คนกันอย่างแพร่หลาย จนมันกลายเป็นกฎสากลที่ใช้ทั่วโลกในปัจจุบัน 

อย่างไรก็ดี สำหรับ โก อเฮด อีเกิลส์ กลับเหนือกว่านั้น เมื่อพวกเขาใช้ตัวสำรองไปถึง 8 รายในศึก เคเอนวีบี คัพ รอบที่ 2 กับ โรดา เจซี เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา 

โดยผู้เล่นทั้ง 8 ราย แบ่งออกเป็นเปลี่ยนตัวตามปกติ 5 คน และอีก 3 รายในสถานการณ์พิเศษ ที่อาจจะไม่เคยเห็นมาก่อนในโลกลูกหนัง 

แถมยังไม่ผิดกฎอีกด้วย เพราะอะไร? 

กรณีพิเศษ 

อันที่จริง โก อเฮด มีสัญญาณว่าพวกเขาต้องใช้โควต้าเปลี่ยนตัวเต็มโควต้าตั้งแต่ต้นเกม หลังเปลี่ยน เคนโซ กูด์มิจ์น ลงไปแทน ยาค็อบ เบรม ที่ได้รับบาดเจ็บ ตั้งแต่นาทีที่ 29 

จากนั้นช่วงครึ่งหลัง พวกเขาก็เปลี่ยนตัวสำรองพร้อมกัน 2 คน ถึง 2 ครั้งในนาทีที่ 75 และ 85 ตามลำดับ และทำให้โควต้าการเปลี่ยนตัวหมดลงตรงนี้ 

อย่างไรก็ดี ในช่วงท้ายเกม ก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อผู้เล่นของ โรดา เจซี มาได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะ และตามกฎพวกเขาสามารถเปลี่ยนตัวเป็นกรณีพิเศษได้ (white substitution) แต่ทีมคู่แข่งก็จะได้สิทธิ์นี้เช่นกัน ทำให้ โก อเฮด มีโควต้าอยู่ในมืออีก 1 ที่ เป็นรวม 6 คน (เปลี่ยนไป 5) 

นอกจากนี้ ตามกฎของฟุตบอลถ้วยยังระบุไว้ว่า ในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่ละทีมจะเปลี่ยนผู้เล่นเพิ่มได้อีก 1 คน ส่งผลให้หลังจบ 90 นาที ทั้งโก อเฮด และ โรดา เจซี มีโควต้าเปลี่ยนตัวรวมเป็น 7 คน 

ทว่า มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะในช่วงต่อเวลาพิเศษ ออสการ์ ซิเวิร์ตเซน ของฝั่ง โก อเฮด มาได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะเช่นกัน และทำให้สามารถเปลี่ยนตัวได้มากถึง 8 คน

แน่นอนว่า โก อเฮด ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดไป เพราะหลังจากเปลี่ยน ออสการ์ เพ็ตเตอร์สัน ลงไปแทน ซิเวิร์ตเซน ในโควต้าที่ 6 แล้ว พวกเขาก็เปลี่ยนตัวสำรองคนที่ 7 และ 8 ลงไปในนาทีที่ 96 และ 105 ตามลำดับ 

ด้วยผลดังกล่าว ทำให้ โก อเฮด กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ ที่เปลี่ยนตัวสำรอง 8 รายในเกมเดียว แบ่งเป็นเปลี่ยนตัวตามปกติ 5 กฎต่อเวลาพิเศษ 1 และจากการบาดเจ็บที่ศรีษะ 2 ราย

ก่อนที่สุดท้ายตัวสำรองทั้ง 8 คน และตัวจริงที่เหลืออยู่ 3 คน ของ โก อเฮด จะรวมพลังเอาชนะ โรดา เจซี ไปด้วยการยิงจุดโทษ ผ่านเข้าไปเล่นในรอบต่อไปได้สำเร็จ 

“โรดา เปลี่ยนตัวครบหมดแล้ว และ ออสการ์ ก็เพิ่งจะลงมาในช่วงท้าย ดังนั้นการเปลี่ยนตัวของเราจึงเกิดขึ้นในเวลาที่ต่างกัน” เมลวิน โบเอล กุนซือของ โก อเฮด กล่าวหลังเกม   
 
“ผมเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ย้อนกลับไปตอนนั้น เราเจอกับ วิลเลม ทเว ในรอบเพลย์ออฟกับ เอฟซี ดอร์เดรชท์ และสิ่งที่เกิดขึ้นก็เหมือนกัน” 

“วิลเลม ทเว เปลี่ยนตัวด้วยกฎ white substitution หมายความว่าเราต้องได้โควต้าเพิ่มอีก 1 ที่”  

สำหรับ โก อเฮด พวกเขาคือแชมป์เก่าหลังสร้างเซอร์ไพรส์ ด้วยการเอาชนะ อาแซด อัคมาร์ ในนัดชิงชนะเลิศ พร้อมได้สิทธิ์ผ่านเข้ามาเล่นในยูโรปาลีก รอบลีกเฟสในฤดูกาลนี้  

ขณะที่ผลงานในลีก พวกเขารั้งอันดับ 12 ของตาราง หลังเก็บได้ 18 คะแนน จาก 16 เกม และมีแต้มตามหลังอันดับ 8 ตำแหน่งสุดท้ายของพื้นที่ฟุตบอลยุโรปอยู่ 5 คะแนน 

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

Editorial Team