กลายเป็นดราม่าที่ลากยาวมาเป็นสัปดาห์สำหรับไข่เจียวปู ของร้านเจ๊ไฝ ร้านสตรีทฟู๊ดระดับมิชลินสตาร์ ที่ราคาขายจริง แพงกว่าที่แปะป้าย
อย่างไรก็ดี กรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับอาหารเท่านั้น แต่ในวงการฟุตบอลก็มีหลายครั้งที่สโมสร ต้องจ่ายในราคาแพง กว่าที่เคยตั้งราคาไว้
ส่วนจะมีเหตุการณ์ไหนบ้างนั้น ติดตามไปพร้อมกัน

มอยเซส ไกเซโด > เชลซี (2023)
ราคาป้าย 100 ล้านปอนด์
ราคาขายจริง 115 ล้านปอนด์
มิดฟิลด์ชาวเอกวาดอร์ ที่ ไบรท์ตัน ซื้อมาด้วยราคา 4 ล้านปอนด์ กลายเป็นนักเตะที่ทำกำไรอย่างมหาศาลให้แก่นกนางนวล หลังขายให้เชลซี ด้วยราคาสูงถึง 115 ล้านปอนด์
อันที่จริงตอนแรกเจ้าตัวมีราคาประเมินราว 70-80 ล้านปอนด์ แต่เมื่อเชลซียื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการ ไบรท์ตันยืนยันว่า จะขายให้ในราคา 100 ล้านปอนด์เท่านั้น
แต่เกมมาเปลี่ยนเมื่อ ลิเวอร์พูล เข้ามาร่วมวงแย่งตัว พร้อมกับยื่นข้อเสนอเป็นเงินสูงถึง 111 ล้านปอนด์ ทำให้สุดท้าย เชลซี ต้องยอมจ่ายเงินสูงถึง 115 ล้านปอนด์ (รวมแอดออน) เพื่อดึงตัวมาร่วมทีมให้ได้ในที่สุด

แฮร์รี เคน > แมนฯ ซิตี้ (2021)
ราคาป้าย 100 ล้านปอนด์
ราคาขายจริง มากกว่า 150 ล้านปอนด์
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน แฮร์รี เคน ถือเป็นแข้งเนื้อหอม ที่หลายทีมในพรีเมียร์ลีกจ้องตาเป็นมัน เพราะนอกจากฝีเท้าในระดับดาวยิงเบอร์ 1 ทีมชาติอังกฤษแล้ว ยังเป็นผู้เล่นท้องถิ่น (โฮมโกรว์น) ที่มีประโยชน์อย่างมาก ยามต้องเล่นสโมสรยุโรป
แน่นอนว่า สเปอร์ส ก็รู้ดีในข้อนี้ จึงตั้งราคากัปตันทีมชาติอังกฤษไว้ที่ 100 ล้านปอนด์ ทว่า เมื่อ แมนฯ ซิตี้ ยื่นข้อเสนอเข้ามาอย่างเป็นทางการ ดูเหมือนว่าเกมจะเปลี่ยนเล็กน้อย
เพราะหลังจากนั้น สเปอร์ส ยืนยันว่าพร้อมขาย เคน ให้คู่แข่งร่วมลีกในราคา 150 ล้านปอนด์เท่านั้น และแม้หลังจากนั้น เรือใบสีฟ้า จะต่อรองเป็น 127 ล้านปอนด์ แต่พวกเขาก็ไม่ใจอ่อน
ท้ายที่สุด ดีลนี้ก็ล่มลงไป ที่ทำให้ เป๊บ กวาดิโอลาร์ ถึงกับบ่นอุบว่าเป็นราคาที่แทบเป็นไปไม่ได้ ก่อนที่ในอีก 2 ปีหลังจากนั้น สเปอร์ส จะขาย เคน ให้ บาเยิร์น มิวนิค ในราคา 86.4 ล้านปอนด์

อองโตนี มาร์กซิยาล > แมนฯ ยูไนเต็ด (2015)
ราคาป้าย 18 ล้านปอนด์
ราคาขาย 36 ล้านปอนด์
อดีตแข้งค่าตัวแพงของ แมนฯ ยูไนเต็ด มีค่าตัวที่ถูกมากในตอนที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากเขาเหลือสัญญากับ โมนาโก เพียงแค่ปีเดียว และถูกแปะป้ายไว้เพียง 18 ล้านปอนด์เท่านั้น
สเปอร์ส คือหนึ่งในทีมที่อยากได้ มาร์ซิยาล มาร่วมทีม จนถึงขั้นส่งแมวมองไปดูฟอร์มอย่างต่อเนื่อง แต่แล้วพวกเขาก็มาโดน แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดหน้า และซื้อไปด้วยราคาสูงถึง 36 ล้านปอนด์

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค > ลิเวอร์พูล (2018)
ราคาป้าย 50 ล้านปอนด์
ราคาขาย 75 ล้านปอนด์
แนวรับชาวดัตช์ เป็นอีกหนึ่งมหากาพย์นักเตะที่ราคาสูงกว่าป้าย เพราะตอนแรกกองหลังของเซาแธมป์ตัน มีราคาที่ราว 50 ล้านปอนด์
ลิเวอร์พูล คือทีมแรกที่ยอมจ่ายในราคานี้ จึงได้ยื่นข้อเสนอเข้ามาอย่างเป็นทางการ และมีรายงานว่าตกลงค่าตัวกันได้ ทว่าทันทีที่แมนฯ ซิตี้ ราคาของเจ้าตัวก็ดีดขึ้นไปเป็น 75 ล้านปอนด์
สุดท้าย ลิเวอร์พูล เป็นทีมเดียวที่ยอมจ่ายราคานี้ และทำให้ ฟาน ไดจ์ค กลายเป็นกองหลังค่าตัวสูงสุดของสหราชอาณาจักรในขณะนั้น

แฮร์รี แม็คไกวร์ > แมนฯ ยูไนเต็ด (2019)
ราคาป้าย 60 ล้านปอนด์
ราคาขาย 80 ล้านปอนด์
แนวรับจอมเสยผม กลายเป็นกองหลังที่มีผลงานเด่นของ เลสเตอร์ นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับทีมในปี 2017 จนได้รับความสนใจจากหลายทีมในพรีเมียร์ลีก ทั้งอาร์เซนอล สเปอร์ส และ แมนฯ ยูไนเต็ด
ในตอนแรกมีข่าวว่า เลสเตอร์ จะยอมปล่อย แม็คไกวร์ หากได้ราคา 60 ล้านปอนด์ หลังหนึ่งปีก่อนหน้า จอห์น สโตน ย้ายไป แมนฯ ซิตี้ ในราคาร่วม 50 ล้านปอนด์
ทว่า หลังจากแมนฯ ยูไนเต็ด พยายามติดต่อซื้อตัว แม็คไกวร์ อย่างจริงจัง เลสเตอร์ ก็ไม่ขาย แถมพอยื่นไปถึง 70 ล้านปอนด์ ก็โดนปฏิเสธ
สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด อยากจะปิดดีลนี้ให้ทันก่อนเปิดฤดูกาล 2019/20 เนื่องจากเกมรับคือปัญหาใหญ่ของพวกเขาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว จึงยอมจ่ายเงิน 80 ล้านปอนด์ที่ เลสเตอร์ ต้องการ ที่ทำให้เขากลายเป็นกองหลังค่าตัวแพงสุดในลีกอังกฤษคนใหม่ทันที