คิงส์คัพ 1995 : เมื่อครั้งหนึ่ง ไทย ต้องลงเตะกับ “ทีมชาติญี่ปุ่นปลอม” ?

Maruak Tanniyom

คิงส์คัพ 1995 : เมื่อครั้งหนึ่ง ไทย ต้องลงเตะกับ “ทีมชาติญี่ปุ่นปลอม” ? image

คิงส์คัพ 2025 เปิดฉากอย่างเป็นทางการเมื่อคืนที่ผ่านมา โดย “ช้างศึก” ทีมชาติไทยประเดิมสนามด้วยการเอาชนะ ฟิจิ ไปได้ 3-0 ผ่านเข้าไปรอชิงชนะเลิศได้อีกสมัย

ทั้งนี้ อันที่จริงสำหรับคิงส์คัพในอดีต ก็เคยต้อนรับทีมดังระดับโลก หรือระดับทวีปมาแล้วมากมาย หนึ่งในนั้นคือ “ซามูไรบลู” ทีมชาติญี่ปุ่น ในปี 1995 ที่ทีมชาติไทยของเราเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 3-2 

อย่างไรก็ดี น่าแปลกที่การแข่งขันในครั้งนั้น กลับไม่ได้ถูกบันทึกจากสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น แถมชื่อผู้เล่นก็ไม่คุ้นหู ราวกับว่าพวกเขาส่ง “ทีมชาติปลอม” มาเตะ 

เรื่องจริงเป็นอย่างไร? ติดตามไปพร้อมกัน 

ชัยชนะประวัติศาสตร์ 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าญี่ปุ่น เป็นเหมือนชาติที่สมาคมฟุตบอลของไทยมองเป็นต้นแบบและอยากเจริญรอยตาม โดยเฉพาะการที่พวกเขาพัฒนาตัวเองจากชาติที่ไม่เคยไปเล่นฟุตบอลโลก กลายมาเป็นขาประจำของทัวร์นาเมนต์ และครองเบอร์ 1 ของเอเชียอยู่ในขณะนี้ 

ทว่า หากย้อนกลับไปราว 20 ปีก่อน “ช้างศึก” ของเรา เคยสร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการเอาชนะญี่ปุ่นไปได้ 3-2 ในฟุตบอลคิงส์คัพ จากแฮตทริคของ เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ 

มันเป็นเกมที่ควรจารึกไว้ในทำเนียบเกียรติยศสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพราะแม้ว่าทีมชาติญี่ปุ่นในตอนนั้น จะยังไม่เคยไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย แต่พวกเขาคือเจ้าของตำแหน่งแชมป์เอเชีย หลังคว้าแชมป์เอเชียนคัพในปี 1992

อย่างไรก็ดี น่าแปลกที่สถิติของ “ซามูไรบลู” ในทัวร์นาเมนต์นี้ กลับไม่เคยถูกบันทึกไว้ในเว็บไซต์ของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น (JFA) ราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทั้งที่ปกติแล้ว พวกเขาคือชาติที่รักในการบันทึกสถิติ ที่จดทุกอย่าง ทั้งสกอร์และรายชื่อผู้เล่น นับตั้งแต่นัดแรกทีมชาติในปี 1917 มาจนถึงปัจจุบัน 

นอกจากนี้ แม้จะสวมเสื้อน้ำเงินพร้อมด้วยตราสัญลักษณ์ “ยาตะการาสุ” ตามแบบฉบับของทีมชาติญี่ปุ่นทุกประการ แต่รายชื่อนักเตะในชุดนั้น กลับไม่คุ้นหูเอาเสียเลย 

เพราะนอกจากจะไม่มีดาวยิงเบอร์ 1 อย่าง “คิงคาซู” คาซูโยชิ มิอุระ แล้ว รุย รามอส แข้งโอนสัญชาติชาวบราซิล, มาซาชิ อิฮาระ กองหลังตัวเก่ง หรือ มาซาชิ นาคายามะ กองหน้าดาวรุ่ง ที่ต่อมากลายเป็นดาวยิงซามูไรบลู ก็ไม่ได้อยู่ในทีมชุดนี้แม้แต่คนเดียว

แม้จะมีผู้เล่นบางส่วนอย่าง ฮิโรอากิ โมริชิมา, อัตสึชิ ยานางิซาวะ หรือ สึเนยาสึ มิยาโมโตะ ที่ต่อขึ้นมาสร้างชื่อให้ทีมชาติญี่ปุ่น แต่นักเตะส่วนใหญ่ในชุดนั้นก็แทบไม่ได้ยินชื่อพวกเขาอีกเลย แถมบางคน คิงส์คัพ ยังเป็นการติดทีมชาตินัดแรก และนัดสุดท้ายของพวกเขาอีกด้วย 

ไม่เว้นแม้แต่ คาซูอากิ ทาซากะ กัปตันทีมในชุดนี้ ที่มาพร้อมกับทรงผมอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ติดทีมชาติต่ออีกเพียงแค่ 7 เกม หรือ เคซูเกะ คูริฮาระ คนที่ยิงประตูในเกมแพ้ไทย ก็ไม่ถูกเรียกติดทีมชาติอีกเลยหลังคิงส์คัพ ในปีดังกล่าว 

หรือว่าทัพซามูไรบลู ที่ทีมชาติไทยอุตส่าห์เอาชนะไปได้ คือทีมชาติปลอม? 

ปลอมก็ไม่ใช่ จริงก็ไม่เชิง 

ย้อนกลับไปในอดีต การเชิญทีมต่างชาติ โดยเอานักเตะจากลีกล่าง หรือทีมสมัครเล่น มาแข่งแล้วจับใส่เสื้อแต่งตัวใหม่ให้เป็นทีมชาตินั้นๆ เป็นสิ่งที่สมาคมฟุตบอลไทยทำอยู่บ่อยครั้ง แต่สำหรับครั้งนี้ แต่สำหรับญี่ปุ่นชุดนี้ อาจจะเรียกว่าทีมชาติปลอมก็ไม่ใช่ แต่จริงก็ไม่เชิงมากกว่า 

เพราะจากข้อมูลในเว็บไซต์  tsune-file.net ระบุว่าซามูไรบลูชุดนี้ คือทีมรวมดาวญี่ปุ่น หรือ 日本選抜 (Nihon Sembatsu) ที่จะเอาผู้เล่นที่ไม่ได้เป็นทั้งตัวหลักและตัวสำรองในทีมชาติชุดใหญ่ รวมไปถึงดาวรุ่งที่มีแววมาติดทีม 

นักเตะส่วนใหญ่ในทีมชุดนี้จึงมีอายุอยู่ในช่วง 18-25 ปีเท่านั้น แถมบางคนไม่ได้เป็นนักเตะอาชีพ แต่เป็นนักเรียน นักศึกษา ในระดับมัธยมปลาย หรือมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ 

ยกตัวอย่างเช่น ยานางิซาวะ ที่ตอนนั้นยังเรียนอยู่ที่มัธยมโทยามะ หรือยูโซ ฟูนาโคชิ ที่อยู่กับมัธยมฟูนาบาชิ รวมไปถึง ชิเงโยชิ โมจิซึกิ ที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยสึคุบะ 

และเหตุผลที่ทำให้ JFA เลือกจะส่งผู้เล่นชุดนี้มา เนื่องจากในช่วงเวลานั้น ทีมชาติญี่ปุ่น มีคิวต้องลงเล่น ไดนาสตี้ คัพ หรือฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียตะวันออก ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นเวลาคาบเกี่ยวกับคิงส์คัพ 

เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในครั้งนี้ แต่ก็อยากจะเก็บผู้เล่นชุดใหญ่ไว้เล่นไดนาสตี้คัพ ที่ให้ความสำคัญมากกว่า พวกเขาจึงตัดสินใจส่งผู้เล่น ที่อาจเรียกได้ว่า ญี่ปุ่น บี มาร่วมวงชิงแชมป์ที่ประเทศไทย 

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การแข่งขันทุกเกมของทีมชาติญี่ปุ่นเฉพาะกิจ ไม่ถูกนับเป็นสถิติอย่างเป็นทางการ รวมถึงทุกเกมในคิงส์คัพ ที่ไม่ได้รับการรับรองในสถานะ “เอแมตช์” อยู่แล้ว และเป็นเหตุผลว่าทำไม ผลการแข่งขันที่ไทย สามารถเอาชนะพวกเขาได้ จึงไม่ได้รับการบันทึกจาก JFA 

ยิ่งไปกว่านั้น จากผลดังกล่าวยังทำให้นักเตะทีมชาติญี่ปุ่นบางคน ที่ลงเล่นในรายการนี้เพียงรายการเดียว ไม่ได้ถูกนับว่าเคยติดทีมชาติ ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง 

แต่ถึงอย่างนั้น ใช่ว่า ญี่ปุ่น จะไม่เคยมาเตะ คิงส์คัพ เลยทีเดียว เพราะ 2 ปีหลังจากนั้น JFA ได้ส่งทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่ ที่ประกอบไปด้วยดาวดังอย่าง คิงคาซู, ฮิโรชิ นานามิ รวมถึง โชจิ โจ ที่ตอนนั้นเป็นดาวรุ่ง มาลงเล่นในรายการนี้

และช้างศึก ทีมชาติไทย ก็ทำได้ดีทีเดียว เมื่อสามารถไล่ตามตีเสมอ 1-1 ในช่วงท้ายเกม จาก เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ แบ่งแต้มกันไปอย่างสนุก 

และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ “ซามูไรบลู” ได้มาเยือน คิงส์คัพ และเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น พวกเขาก็ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 
  

บทความที่เกี่ยวข้อง

Maruak Tanniyom

ลีดส์ ยูไนเต็ด, ญี่ปุ่น, มังงะ