ตลอดการค้าแข้งที่อังกฤษ เจสซี่ ลินการ์ด มักถูกมองว่าเป็นนักเตะที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ เพราะเจ้าตัวมักมีภาพออกไปปาร์ตี้ หรือทำอะไรแปลก ๆ บนโซเชียลมีเดียอยู่เสมอ
แต่หลังจากที่อดีตเด็กปั้นของ แมนฯ ยูไนเต็ด รายนี้ ย้ายมาอยู่กับ เอฟซี โซล ที่เคลีก เกาหลีใต้ เมื่อปี 2023 ลินการ์ด ก็ดูเป็นมืออาชีพขึ้นเยอะ ถึงขนาดได้รับปลอกแขนกัปตันทีมของสโมสร จนกลายเป็นที่รักของแฟนบอลทั่วประเทศ
หลังจากแยกทางกับ เอฟซี โซล เมื่อไม่นานมานี้ แข้งวัย 33 ปี ก็ได้ออกมาเปิดใจถึงการใช้ชีวิตในเกาหลีใต้ภายใต้วัฒนธรรมเอเชีย พร้อมบอกว่ามันช่วยทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นได้จริง ๆ
ประสบการณ์ที่เกาหลีใต้ของ ลินการ์ด
เจสซี่ ลินการ์ด ผ่านการค้าแข้งกับทีมดังในบ้านเกิดมาแล้วมากมายกับทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด, เลสเตอร์ ซิตี้, ไบรท์ตัน, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด หรือ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ก่อนย้ายมาหาความท้าทายใหม่ที่แผ่นดินเอเชียกับ เอฟซี โซล
หลังจากลงสนามให้กับทีมดังแห่งเกาหลีใต้ 67 นัดรวมทุกรายการภายใต้สัญญา 2 ปี ลินการ์ด ที่ปัจจุบันเป็นนักเตะไร้สังกัด ก็ได้ออกมาเล่าประสบการณ์การค้าแข้งที่เกาหลีใต้ผ่านสื่อดังอย่าง The Guardian
“เอฟซี โซล เป็นสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ผมมักจะเปรียบเทียบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะความคาดหวังที่จะคว้าชัยชนะนั้นมีอยู่เสมอ” เจสซี่ ลินการ์ด เล่าผ่าน The Guardian
“ตอนแรกผมตกใจมาก เพราะผมไม่รู้จักโซลเลย แต่พอผมเริ่มคิดถึงเรื่องนี้ ผมก็คิดว่ามันอาจเป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นใหม่ และหลีกหนีจากความวุ่นวายในแมนเชสเตอร์”

“ที่แมนเชสเตอร์มีสิ่งรบกวนคุณเยอะมาก คุณอาจถูกชักจูงให้ไปเที่ยวเล่นอะไรแบบนั้น ผมแค่อยากจะหนีไปไกล ๆ และตั้งใจฝึกซ้อมฟุตบอลอย่างจริงจัง ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น”
“แต่ถ้าหิมะตกหรือพื้นสนามเป็นน้ำแข็ง คุณฝึกซ้อมไม่ได้หรอก คุณต้องไปออกกำลังกายในยิมหรือวิ่งบนสนามหญ้าเทียมแทน เราต้องทำแบบนั้นในช่วง 2-3 สัปดาห์สุดท้ายของฤดูกาลเพราะอากาศหนาวจัด”
นอกจากนี้ ลินการ์ด ยังพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพื่อนร่วมทีม รวมถึงระบบรุ่นพี่รุ่นน้องที่เป็นดั่งวัฒนธรรมของคนเอเชียเอาไว้ว่า
“ที่นั่นนักเตะส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ดี ผู้จัดการทีม คิม กี ดง คุยกับผมผ่านล่าม แม้ว่าในปีที่สองเขาจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง แต่รู้ไหม? ภาษาเกาหลีของผมดีมากนะ ผมเรียนรู้จากนักเตะรุ่นน้องคนหนึ่งชื่อ ฮัม ซุน วู”
“ตอนที่ผมเข้าร่วมทีมช่วงปรีซีซั่นครั้งแรก เขาจะมาที่ห้องผม เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เขาก็อยู่ตรงนั้น ลองหมวกให้ผม ดูนาฬิกาให้ผม เขาเป็นพลังงานที่ดี มีออร่าที่ดี และเราก็เข้ากันได้ดี”
“ตอนแรก เราจะสื่อสารกันผ่านล่าม แต่เขาจะจับคำเล็ก ๆ ที่ผมพูด และผมก็จะจับคำที่เขาพูดเป็นภาษาเกาหลีได้ นั่นเป็นวิธีที่ผมเรียนรู้ผ่านเขา และเขาก็เรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านผมเช่นกัน และในที่สุดเราก็สามารถไปทานอาหารเย็นด้วยกันได้ เพราะเราสื่อสารกันได้แล้ว”

“ผมมีเรื่องเล่าจากมื้อเย็นหลายเรื่อง ตอนที่ผมไปถึงที่นั่นใหม่ ๆ ผมไปทานอาหารกับนักเตะรุ่นน้อง 2-3 คน วัฒนธรรมของพวกเขาคือจะรอให้คนที่อาวุโสที่สุดในโต๊ะเริ่มกินก่อนเสมอ ดังนั้นเมื่ออาหารของผมยังไม่มาแต่ของพวกเขามาแล้วพวกเขาก็จะไม่กิน”
“ผมบอกพวกเขาว่า ‘กินไปเถอะ ของผมกำลังจะมาแล้ว’ แต่พวกเขากลับบอกว่า ‘ไม่ได้’ ผมสามารถวางอาหารของผมไว้เฉย ๆ โดยไม่แตะต้องมันได้ แต่พวกเขาก็จะแตะต้องมันไม่ได้เช่นกัน นั่นทำให้ผมตกใจมาก”
“ผมได้สร้างความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับผู้เล่นและแฟน ๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นมันจึงเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอีกครั้ง ผมคิดว่าผมได้ทิ้งมรดกที่แข็งแกร่งเอาไว้ที่นี่”
บทความที่เกี่ยวข้อง
จากประสบการณ์ตรง! ลินการ์ด เผย 3 สิ่งที่อยากให้เคลีกปรับปรุงและพัฒนา
ไอ้นี่เนี่ยนะ? พอล สโคลส์ ถึงกับเหวอ หลังรู้ เจสซี ลินการ์ด เป็นกัปตันที่เอฟซี โซล
ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว: ส่องไลฟ์สไตล์สุดชิลล์ของ เจสซี่ ลินการ์ด ที่ประเทศเกาหลีใต้