ถือเป็นข่าวเศร้าวงการฟุตบอลญี่ปุ่น เมื่อ คูนิชิเงะ คามาโมโตะ กองหน้าระดับตำนานของพวกเขา ต้องอำลาโลกไป ด้วยวัย 81 ปี ทิ้งสถิติที่ยากทำลายมากมายให้แก่คนรุ่นหลัง
เนื่องจาก คามาโมโตะ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทูตของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น เท่านั้น แต่เขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่พาซามูไรบลู คว้าเหรียญทองแดงในฟุตบอลโอลิมปิก แถมยังยิงประตูให้กับ ซามูไรบลูมากถึง 75 ประตูจา่ก 76 นัด รวมถึงเป็นอดีตเพื่อนร่วมทีม “เฮงซัง” หรือ วิทยา เลาหกุล ของไทยเรา
อย่างไรก็ดี ทั้งที่มีฝีเท้าที่เก่งกาจ และผลงานเป็นที่ประจักษ์ขนาดนี้ แต่เขากลับไม่เคยไปค้าแข้งในต่างประเทศ แม้แต่ครั้งเดียว
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกัน
แข้งเก่งสุดตลอดกาลญี่ปุ่น
ชีวิตของ คามาโมโตะ อาจจะแตกต่างจากเด็กทั่วไปในยุคนั้น เพราะแทนที่จะเล่นเบสบอล กีฬายอดนิยมของญี่ปุ่น เขากลับสนใจฟุตบอล กีฬาเฉพาะกลุ่มที่ถูกพูดถึงน้อยมาก
"ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะเล่นเบสบอล แต่หลังจากจบชั้นประถมและจะไปเรียนต่อในระดับมัธยมต้น ครูก็ถามผมว่า 'จะเล่นกีฬาอะไรเหรอ'" คามาโมโตะ กล่าวกับ King Gear
"พอผมบอกว่าตัดสินใจเล่นเบสบอล ครูก็บอกมาว่า 'เบสบอลมีเล่นกันแค่ในอเมริกากับญี่ปุ่นนะ แต่ฟุตบอลเล่นกันทั่วโลก จะไปที่ไหนในโลกก็ได้ ทำไมไม่ลองเล่นฟุตบอลดูล่ะ'"
"ผมคิดดูมันก็ดี ก็เลยเริ่มเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่มัธยมต้น"
แต่พอเลือกเส้นทางนี้ เขาก็ทุ่มเทให้มันอย่างจริงจัง จนสามารถพาโรงเรียนยามาชิโร คว้ารองแชมป์ฟุตบอลมัธยมปลายชิงแชมป์แห่งชาติได้ในปี 1962 และถูกเรียกติดทีมชาติญี่ปุ่นชุดเยาวชน ไปเล่นชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศไทยในเวลาต่อมา
แม้ว่าทัวร์นาเมนต์แรกในนามทีมชาติ อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ หลังญี่ปุ่นคว้าอันดับ 4 จาก 5 ทีม แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นสู่ทีมชาติของ คามาโมโตะ เมื่อไม่กี่ปีหลังจากนั้น เขาก็ถูกเรียกติดทีมชาติญี่ปุ่น ชุดลุยฟุตบอลโอลิมปิก 1964 ที่บ้านเกิด ทั้งที่เป็นนักศึกษาปี 2 ของมหาวิทยาลัยวาเซดะ
อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่ ซามูไรบลู ไปไกลที่สุดแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังพ่ายต่อ เชกโกสโลวาเกีย 4-0 ทว่านั่นก็เป็นแรงบันดาลใจชั้นดีสำหรับ คามาโมโตะ ที่ทำให้เขาเลือกเล่นฟุตบอลต่อ หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย

ทีมที่ คามาโมโตะ เลือกเล่นคือ ยันมาร์ ดีเซลล์ (เซเรโซ โอซากา ในปัจจุบัน) ที่ทำให้เขาฉายแววการเป็นยอดกองหน้าเบอร์ 1 ของญี่ปุ่น หรือบางที อาจจะเป็นเบอร์ 1 ของเอเชียด้วยซ้ำ
เพราะแค่ฤดูกาลแรกในฐานะนักฟุตบอลกึ่งอาชีพ คามาโมโตะ ก็ซัดไปถึง 14 ประตูจาก 14 นัด หรือครึ่งหนึ่งของประตูที่ทีมยิงได้ตลอดทั้งฤดูกาล (28 ประตู) คว้ารองดาวซัลโวของลีก แถมในฤดูกาลต่อมา เขายังฟอร์มแรงไม่ตก ยิงไปอีก 14 ประตูจาก 14 เกม พา ยันมาร์ จบรองแชมป์ลีก พร้อมคว้าดาวซัลโวลีกแบบไร้คู่แข่ง
หลังจากนั้น คามาโมโต้ ก็กลายเป็นยอดดาวยิงของลีกญี่ปุ่น และคว้ารางวัลดาวซัลโว Japan Soccer League อีก 6 ครั้ง ทว่า น่าเศร้าที่เขากลับไม่เคยพา ยันมาร์ คว้าแชมป์ได้แม้แต่รายการเดียว
ขณะเดียวกันในปี 1977 คามาโมโตะ ยังมีโอกาสได้เล่นร่วมกับ วิทยา เลาหกุล นักเตะไทยคนแรกในลีกญี่ปุ่น หลังถูกใจผลงานของ “เฮงซัง” ในเมอร์เดกา คัพ 1976 ที่ยันมาร์ไปคว้าแชมป์ แล้วมาชักชวนไป
ทั้งคู่มีโอกาสประสานงานในสีเสื้อของ ยันมาร์ อยู่สองฤดูกาล ก่อนที่ วิทยา จะโบกลาแดนอาทิตย์อุทัยบินลัดฟ้าไปค้าแข้งที่เยอรมัน กับ แฮร์ธา เบอร์ลิน ในปี 1979
อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่ คามาโมโตะ ทำได้เพียงมองรุ่นน้องชาวไทยเท่านั้น
ดาวซัลโวโอลิมปิก
แน่นอนว่าจุดเด่นของ คามาโมโตะ ที่ทำให้เขาโดดเด่นกว่ากองหน้ารายอื่นในยุคนั้น คือรูปร่างที่ใหญ่กว่าคนญี่ปุ่นทั่วไป ด้วยส่วนสูงที่มากถึง 180 เซนติเมตร แถมยังมีความเร็ว และการจบสกอร์ที่เฉียบขาด
"มันน่าทึ่งมากกับการเข้าถึงบอลของผู้เล่นคนนี้ สเต็ปการวิ่ง แรงกระทบ และการไล่ตามตอนที่ยิงออกไป มันเหมือนกันทุกครั้ง" เว็บไซต์ Japan Soccer Archive อธิบาย
"เทคนิคและท่าทางของเขาเวลาโหม่งบอลก็คล้ายคลึงกัน มันแน่นอนและสวยงามเสมอ เริ่มจากวิสัยทัศน์ไปจนถึงการเตรียมตัวเพื่อให้พร้อมกับลูกครอสที่เข้ามา รวมถึงกำหนดจุดตกของลูกบอล สเต็ปการเคลื่อนไหว การกระโดด และการสัมผัสกับบอลกลางอากาศ"
"ร่างกายของเขาถูกสร้างขึ้นมาอย่างดีต่างจากปกติของคนญี่ปุ่น เขาพัฒนาเทคนิคของตัวเองที่แม่นยำทั้งการยิงและการโหม่ง เขารู้วิธีการใช้งานทั้งหมดเพื่อช่วยทีม และตัวเขาเองก็มีความมั่นใจในความสามารถของตัวเองทั้งเรื่องการยิงหรือการเตะบอลง่าย ๆ"
ด้วยเหตุนี้ ผลงานของคามาโมโตะ จึงไม่ได้จำกัดแค่สโมสรญี่ปุ่นเท่านั้น แต่กับ “ซามูไรบลู” ทีมชาติญี่ปุ่น เขาก็คือเบอร์ 1 และเคยแสดงให้โลกได้เห็นในโอลิมปิก 1968 ที่เม็กซิโก มาแล้ว
เพราะแค่เพียงนัดแรกในโอลิมปิก คามาโมโตะ ก็จัดการเหมาคนเดียว 3 ประตู ทำแฮตทริค ช่วยให้ญี่ปุ่นเอาชนะ ไนจีเรีย ไปอย่างเซอร์ไพรส์ 3-1

แม้ว่า 2 เกมต่อมา คามาโมโตะ จะเบิกสกอร์ให้ตัวเองไม่ได้ แต่ผลเสมอกับ บราซิล และ สเปน ก็ดีพอที่จะทำให้ญี่ปุ่น เข้ารอบ 8 ทีมทีมสุดท้าย
และในรอบนี้ คามาโมโตะ ก็กลับมามีสกอร์อีกครั้ง ด้วยการยิง 2 ประตูใส่ฝรั่งเศส ช่วยให้ ซามูไรบลู ทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ทว่า ในรอบรองชนะเลิศ ญี่ปุ่น กลับต้องมาพ่ายเต็ง 1 ฮังการี อย่างหมดรูป 5-0 แต่ในรอบชิงที่ 3 พวกเขาก็มาแก้ตัว ด้วยการเอาชนะ เม็กซิโก เจ้าภาพไปได้ 2-0 จาก 2 ประตูของ คามาโมโตะ คว้าเหรียญทองแดง มาคล้องคอได้อย่างยิ่งใหญ่
อย่างไรก็ดี สำหรับ คามาโมโตะ นอกจากเหรียญทองแดงแล้ว เขายังคว้าตำแหน่งดาวซัลโวของทัวร์นาเมนต์ ด้วยผลงาน 7 ประตูจาก 7 นัด และเป็นแข้งเอเชียคนแรก และคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ทำได้
ก่อนที่มันจะเป็นตัวจุดประกาย โอกาสในการค้าแข้งต่างประเทศของ คามาโมโตะ
ต่างแดนที่เกือบได้สัมผัส
ด้วยผลงานอันโดดเด่นในโอลิมปิก 1968 ทำให้ทำให้ คามาโมโตะ ได้รับความสนใจจากสโมสรในต่างประเทศ ทั้งฝรั่งเศส, เยอรมันตะวันตก, อุรุกวัย, เม็กซิโก และ เอกวาดอร์ ทว่าปัญหาคือ เขาไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
"พวกเขาบอกให้ผมไปที่นั่น แต่ตอนนั้นมันไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีระบบเอเยนต์ ผมไม่รู้ว่าจะต้องไปเจรจากับใคร ตอนนั้นทีมจากเยอรมันตะวันตกใช้พนักงานของลุฟท์ฮันซาฝากข้อความมาบอก" แข้งที่ยิงไป 75 ประตูจาก 76 ประตูให้ทีมชาติญี่ปุ่น กล่าวกับ Daily Shincho
"ปีต่อมาเรามีฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ผมบอกไปว่าช่วยรอให้จบก่อนได้มั้ย"
"ญี่ปุ่นยังไม่เคยผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกเลย ดังนั้นผมจึงจะต้องทำประตูให้ได้เพื่อให้ญี่ปุ่นได้เข้าไปเล่นเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นไม่ว่าจะอเมริกาใต้หรือยุโรปผมก็จะไปหมด แค่รอให้ถึงตอนนั้นก่อน"
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าโชคชะตาไม่เป็นใจ เพราะในเดือนมิถุนายน 1969 เขาก็ดันมาล้มป่วยในค่ายฝึกซ้อมทีมชาติ ก่อนจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ
ด้วยความที่โรคนี้ เพิ่งค้นพบในช่วงทศรรษที่ 1960s ทำให้ คามาโมโตะ มีอาการร้ายแรง จนถึงขนาดอยู่ในภาวะโคม่า และพักรักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 50 วัน

"ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มันก็กลายเป็นไวรัสตับอักเสบ ในปี 1964 มีการแข่งขันโตเกียว โอลิมปิก จากนั้นผมก็ไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกลับมาเล่นเอ็มเพอเรอร์สคัพที่ญี่ปุ่น" คามาโมโตะ กล่าวกับ King Gear
และมันก็ทำให้ความฝันของ คามาโมโตะ ต้องหลุดลอยออกไป เพราะตอนนั้นแค่กลับมาเล่นฟุตบอลปกติยังยาก การไปเล่นในต่างประเทศ จึงแทบเป็นไปไม่ได้
"การคิดจะไปเล่นในระดับโลกมันเป็นไปไม่ได้เลย แค่ยืนก็แทบไม่ไหวแล้ว ผมเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะเล่นฟุตบอลต่อไปอีกไม่ได้" คามาโมโตะ กล่าวกับ Daily Shincho
ทั้งนี้ แม้ว่าในเวลาต่อมา คามาโมโตะ จะสามารถฟื้นฟูร่างกาย จนกลับมาเป็นยอดดาวยิงญี่ปุ่น แต่ไม่มีสโมสรจากต่างประเทศให้ความสนใจเขาอีกเลย
เหตุผลสำคัญคือในยุคนั้น ฟุตบอลญี่ปุ่น ยังมีมาตรฐานที่ต่างจากยุโรปพอสมควร แถม คามาโมโตะ ก็ไม่ได้มีเวทีระดับโลกให้แสดงศักยภาพเหมือนเมื่อปี 1968 เพราะทีมชาติญี่ปุ่นไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย ทั้งฟุตบอลโลก หรือ ฟุตบอลโอลิมปิก ได้อีกเลยหลังจากนั้น จนกระทั่งตัวเขาแขวนสตั๊ดในปี 1984
ทำให้นั่นเป็นโอกาสเดียว และโอกาสสุดท้ายของ คามาโมโตะ ที่จะได้ไปเล่นในต่างแดน ที่จบลงอย่างน่าเสียดาย เมื่อเทียบกับผลงานและสถิติตลอดช่วงชีวิตของเขา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ก่อนเข้ายุคเก๊กฮวยมีฟอง! ทำไมแฟนบอลรุ่นเก๋าของอังกฤษถึงเรียกลีกคัพว่ามิลค์คัพ?
เปิดมุมมอง เป๊ป กวาร์ดิโอลา : ทำไมถึงไม่ใช้ชุดใหญ่ลงเล่น คาราบาว คัพ?