ปาฎิหาริย์แห่งไมอามี : เกมแรกในประวัติศาสตร์ที่ ญี่ปุ่น โค่น บราซิล จากฝีมือของ อากิระ นิชิโนะ

Francis Phumin

ปาฎิหาริย์แห่งไมอามี : เกมแรกในประวัติศาสตร์ที่ ญี่ปุ่น โค่น บราซิล จากฝีมือของ อากิระ นิชิโนะ image

กลายเป็นพาดหัวใหญ่ของสื่อทุกสำนักในประเทศไม่ต่างอะไรจากวาระแห่งชาติ เมื่อ ทีมชาติญี่ปุ่นสามารถโค่นมหาอำนาจลูกหนังและอดีตแชมป์โลก 5 สมัย อย่าง ทีมชาติบราซิล 3-2 ทั้ง ๆ ที่พวกเขาโดนนำไปก่อน 2 ประตู

ในนามทีมชาติชุดใหญ่นี่นับเป็นครั้งแรกที่ทัพซามูไรบลูมีชัยเหนือพลพรรคแซมบ้า หลังก่อนหน้านี้เจอกันมา 13 ครั้ง แพ้ไป 11 และเป็นการแพ้รวดมา 6 เกมติดต่อกัน แต่อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ฟุตบอลญี่ปุ่นสามารถล้มฟุตบอลบราซิลได้

เพราะย้อนกลับเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว ในศึกโอลิมปิก 1996 ญี่ปุ่น ที่เพิ่งก่อตั้งลีกอาชีพได้ไม่นาน ภายใต้การทำทีมของ อากิระ นิชิโนะ สามารถพลิกล็อกเอาชนะ บราซิล ที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์ได้เหนือความคาดหมาย จนถูกขนานนามว่าเป็น “ปาฎิหาริย์แห่งไมอามี”

เรื่องราวในวันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง? ติดตามได้ที่นี่

โอลิมปิกครั้งแรกรอบ 28 ปี

นับตั้งแต่คว้าเหรียญทองแดงในโอลิมปิก 1968 ที่ประเทศเม็กซิโก ทีมชาติญี่ปุ่น ก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาเล่นฟุตบอลชายในโอลิมปิก รอบสุดท้าย ได้เลยสักครั้ง กระทั่งต้นยุค 90s วงการฟุตบอลญี่ปุ่นเริ่มพัฒนา ในปี 1992 พวกเขาสามารถคว้าแชมป์เอเชียน คัพ ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และปีถัดมาก็ได้มีการก่อตั้งเจลีกอย่างเป็นทางการ

แม้จะพลาดตั๋วไปเล่นฟุตบอลโลก 1994 แบบน่าเจ็บใจ แต่ประชาชนชาวญี่ปุ่นก็อาจจะพอยิ้มได้บ้าง เมื่อพวกเขาสามารถผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโอลิมปิก 1996 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ จากการทำทีมของกุนซือหนุ่มอย่าง ‘อากิระ นิชิโนะ’ ที่ในเวลาต่อมาจะถูกยกให้เป็นปรมาจารย์ของวงการลูกหนังแดนอาทิตย์อุทัย

นี่นับเป็นการกลับมาลงสนามในมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมวลมนุษยชาติเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ของชาติ จึงทำให้ถูกคาดหวังจากแฟนบอลสูงมาก อย่างไรก็ตาม ปรากฎว่าในรอบแรกพวกเขาดันถูกจับไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับ บราซิล ไนจีเรีย และ ฮังการี ซึ่งนับว่าแข็งพอตัว

“ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามีแรงกดดันอย่างมาก เพราะฟุตบอลญี่ปุ่นไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมานาน ประมาณ 28 ปีแล้ว” อากิระ นิชิโนะ นั่งรำลึกความหลัง

“3 ปีก่อนการแข่งขันครั้งนั้น ฟุตบอลญี่ปุ่นพยายามเปลี่ยนแปลงลีกภายในประเทศให้เป็นลีกอาชีพ ซึ่งหมายความว่ามันมีความคาดหวังสูงมาก”

กระดูกชิ้นโต

และคู่ต่อสู้ในเกมเปิดสนามก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น บราซิล ที่เพิ่งคว้าแชมป์โลกเมื่อ 2 ปีก่อนมาหมาด ๆ ที่สำคัญพวกเขายังมีเป้าหมายชัดเจนในทัวร์นามเมนต์นี้นั่นก็คือต้องคว้าเหรียญทองให้ได้เท่านั้น เพราะ ณ เวลานั้นพวกเขายังไม่เคยสัมผัสมันเลยสักครั้ง

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ญี่ปุ่น จะกลัว บราซิล จนขาสั่น เนื่องจากเวลานั้นทัพแซมบ้าอุดมไปด้วยนักเตะชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น อัลเดียร์ กองหลังจอมแกร่ง หรือ เบเบโต้ กองหน้าคนสำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดแชมป์โลก 1994

นอกจากนี้ยังมี 5 ดาวรุ่งที่ต่อมาก้าวมาเป็นสตาร์อย่าง ดิด้า, จูนินโญ เปาลิสต้า, โรแบร์โต คาร์ลอส, ริวัลโด้ และ โรนัลโด้ R9 ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวไปอยู่ภายใต้การคุมทีมของ มาริโอ ซากัลโล กุนซือคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้ทั้งในฐานะผู้เล่นและโค้ช

กลับกัน ญี่ปุ่น ชุดนั้นไม่มีใครเล่นในยุโรปเลยด้วยซ้ำ แถมลีกอาชีพก็ก่อเพิ่งก่อตั้งขึ้นเพียง 3 ปี นักเตะชื่อดังก็มีเพียง มาซากิโยะ มาเอโซโนะ กองหลังจาก โยโกฮาม่า ฟลูเกลส์ และ ฮิเดโตชิ นากาตะ แนวรุกตัวความหวัง เรียกได้ว่ามองจากมุมไหนก็ไม่เห็นเหลี่ยมที่ญี่ปุ่นจะคว้าชัยได้เลยสักนิด

ปาฎิหาริย์แห่งไมอามี

กระทั่งวันที่ 21 กรกฎาคม 1996 วันที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลญี่ปุ่นก็มาถึง ทั้งสองทีมเดินลงสู่สนาม ไมอามี ออเรนจ์ โบวล์ ท่ามกลางผู้ชมที่เข้ามาเป็นสักขีพยาน 46,724 คน เพื่อหวังเห็นทีมแชมป์โลกเดินหน้ายำใหญ่ใส่ตัวแทนของเอเชีย

วันนั้น บราซิล จัดเต็มไม่มีกั๊ก ส่ง ดิด้า เฝ้าเสา แนวรับมี โรแบร์โต คาร์ลอส ประจำการทางฝั่งซ้าย แดนกลางใช้ ริวัลโด้ กับ จูนินโญ สร้างสรรค์เกมรุก ส่วนด้านบนมี เบเบโต้ คอยจบสกอร์ แถมหากเกมตื้อ ๆ ตัน ๆ ก็มี โรนัลโด้ คอยเปลี่ยนเกมที่ม้านั่งสำรอง

ส่วน ญี่ปุ่น ของ อากิระ นิชิโนะ มาในระบบ 3-6-1 แน่นอนมาเล่นรับเต็มที่ และก็เป็นไปตามคาดว่าพวกเขาโดนพับสนามบุกตั้งแต่นาทีแรกของการแข่งขัน แต่อย่างไรก็ดี ด้วยความยอดเยี่ยมของ โยชิคัตสึ คาวากูจิ ที่เซฟไว้ได้หลายครั้ง ทำให้จบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 0-0

ในครึ่งหลังก็เหมือนเดิมเป๊ะ บราซิล บุกแบบวันเวย์ แถมนาทีที่ 64 พวกเขายังส่ง โรนัลโด้ ลงสนามอีกต่างหาก อย่างไรก็ตาม อีกเพียง 7 นาทีให้หลัง ก็เกิดเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด….

นาที 72 ริวจิ มิจิกิ ครอสบอลจากฝั่งซ้ายเข้าเขตโทษ แต่ปรากฏว่า อัลเดียร์ และ ดิด้า สื่อสารกันไม่ดีจนวิ่งไปชนกันเอง ทำให้บอลมาเข้าทาง เทรุโยชิ อิโตะ ยิงเข้าไปโล่ง ๆ และมันก็กลายเป็นประตูเดียวที่เกิดขึ้นในเกมนี้ จบเกม ญี่ปุ่น พลิกล็อกชนะ บราซิล 1-0 แบบช็อกโลก

“ผมคิดว่าผมเตรียมตัวมาค่อนข้างดี เพราะได้ชมฟุตเทจที่ทีมงานรวบรวมมาให้ดู แต่ข้อมูลที่มีอยู่ แทบใช้ไม่ได้เลยเมื่อลงสนาม” ผู้ทำประตูชัยในวันนั้นรำลึกเหตุการณ์ผ่าน Sportvita 

“อีกอย่างในแง่ของอารมณ์ บราซิลเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นผมจึงเคารพพวกเขา แต่ก็ไม่อยากรู้สึกกดดันมากเกินไป ผมจึงพยายามไม่รู้สึกกดดันกับบรรยากาศของคู่แข่งหรือสถานที่แข่งขัน

“ผมแค่คิดว่า 'พวกนี้เก่งมาก' ผมบังเอิญต้องเผชิญหน้ากับกับ ริวัลโด้ ซึ่งตัวใหญ่และมีเทคนิคที่ยอดเยี่ยม ส่วน จูนินโญ่ เปาลิสต้า ซึ่งเล่นอยู่ข้าง ๆ ก็มีความเร็วและทักษะที่ดีเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงแข็งแกร่งมาก อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเป็นเพราะเราสามารถกดดันคู่แข่งได้ตั้งแต่แดนบน จึงจำกัดพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง

ขณะที่ มาซาคิโยะ มาเอโซโนะ กัปตันในเกมนั้นกล่าวถึงเบื้องหลังชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ว่า ผมบอก นิชิโนะ ตลอดจนถึงวันแข่งขันว่า 'มาเล่นเกมของเราเองเถอะ' ตอนนั้นนิชิโนะอายุ 41 ปี และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขารับหน้าที่โค้ชในทัวร์นาเมนต์ระดับโลก พวกเรายังเด็กและพูดจาเห็นแก่ตัวกันมาก

“แต่ นิชิโนะ ต้องคิดถึงทีมและสิ่งที่เราต้องทำเพื่อชัยชนะ ตอนนี้ผมเข้าใจสิ่งที่ นิชิโนะ พูดแล้ว แต่ตอนนั้นผมยังเด็ก ผมแค่อยากเล่นฟุตบอลรุกเหมือนเคย เล่นเกมอย่างจริงจัง และทดสอบความแข็งแกร่งของเรา นั่นคือทั้งหมดที่ผมคิด

เราแย่งบอลไม่ได้ และถึงแม้จะได้บอลมา ก็เสียบอลในทันที...ตอนนั้นผมคิดว่า ‘พวกนี้สุดยอดมาก’ จริง ๆ เราน่าจะแพ้ สัก 10-0 แต่เราชนะ

แม้จะสามารถประเดิมสนามด้วยชัยชนะ อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่น ก็ตกรอบแรก ขณะที่ บราซิล สามารถก้าวไปจบอันดับที่ 3 แต่กระนั้นนี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการฟุตบอลญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้

เพราะในปี 1998 พวกเขาผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติ ก่อนที่อีก 4 ปีต่อมาจะได้เป็นเจ้าภาพร่วมกับ เกาหลีใต้ และค่อย ๆ พัฒนาเป็นทีมชั้นนำของโลกในปัจจุบัน

บทความที่เกี่ยวข้อง

Francis Phumin

นักเขียน The Sporting News Thailand ผู้ที่หลงไหลในเสน่ห์ของฟุตบอล