หลังร่วมงานกันมายาวนานกว่า 12 ปี สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ และ Under Armour ตัดสินใจแยกทางอย่างเป็นทางการ ยุติบทบาทของนักบาสเก็ตบอลซูเปอร์สตาร์แห่ง Golden State Warriors กับแบรนด์กีฬาที่ดึงตัวเขาออกจาก Nike มาเป็นหัวหอกสำคัญในตลาดรองเท้าบาสเก็ตบอล
เส้นทางที่สิ้นสุดลงของ สเตฟเฟ่น เคอร์รี่ กับ Under Armour
เคอร์รี ซึ่งเซ็นสัญญากับ Under Armour ในปี 2013 หลังจากเล่นกับ Nike มา 4 ฤดูกาล จะยังคงถือครอง Curry Brand ในฐานะเจ้าของเต็มตัว และสามารถหาพาร์ตเนอร์ค้าปลีกรายใหม่ได้อย่างอิสระ
“มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำงานกับสตีเฟ่น เขาไม่ใช่แค่แบรนด์แอมบาสเดอร์ แต่กลายเป็นผู้นำเชิงธุรกิจที่รอบคอบและมีวิสัยทัศน์” เควิน แพลงค์ ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Under Armour กล่าว
“เราร่วมกันสร้างสิ่งที่หายาก: แบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีผลกระทบต่อชุมชน และมีผลิตภัณฑ์ที่ทำงานได้ในระดับสูงสุด สำหรับ Under Armour นี่คือช่วงเวลาที่เราต้องโฟกัสกับแบรนด์หลัก UA แต่สำหรับสตีเฟ่น นี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดให้ Curry Brand เติบโตไปตามวิสัยทัศน์ของเขา เราจะซาบซึ้งเสมอสำหรับสิ่งที่เขานำมาสู่ทีม UA”
สำหรับแฟน ๆ ที่ติดตาม รองเท้า Curry 13 จะเป็นรุ่นสุดท้ายภายใต้ Under Armour มีกำหนดวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 พร้อมสีใหม่และคอลเลกชันเสื้อผ้าที่จะมีจนถึงตุลาคม 2026
การเซ็นสัญญาของเคอร์รีกับ Under Armour ในปี 2013 ถือเป็นหนึ่งใน “เซอร์ไพรส์แห่งวงการสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง” ที่หลายคนคาดไม่ถึง จากนั้นเขาได้เปิดตัว Curry Brand ในปี 2020 ในฐานะสาขาย่อยของ Under Armour คล้ายกับ Jordan Brand ของ Nike ก่อนจะได้รับตำแหน่งประธานของแบรนด์ย่อยเมื่อขยายสัญญาระยะยาวในปี 2023 เคอร์รีในฐานะ 11-time NBA All-Star ยังได้รับหุ้นสามัญ 8.8 ล้านหุ้น มูลค่า 75 ล้านดอลลาร์ พร้อมสิทธิประโยชน์และโบนัสตามผลงาน
“Under Armour เชื่อมั่นในตัวผมตั้งแต่เริ่มต้น และให้พื้นที่ในการสร้างสิ่งที่ใหญ่กว่าแค่รองเท้า ผมซาบซึ้งในสิ่งนั้นเสมอ” เคอร์รีกล่าว “
Curry Brand ถูกสร้างขึ้นเพื่อเปลี่ยนเกมอย่างยั่งยืน และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เราได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเด็ก ๆ ชุมชน และวงการบาสเก็ตบอล สิ่งที่ Curry Brand ยืนหยัด สิ่งที่ผมยึดถือ และพันธกิจของผมไม่เคยเปลี่ยน มันเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ผมตื่นเต้นกับอนาคตที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมความมุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงข้างคนรุ่นต่อไป”
อย่างไรก็ตาม การแยกทางครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ Under Armour กำลังเผชิญความท้าทาย หุ้นบริษัทตกลงกว่า 47.3% ในรอบปี และซื้อขายใกล้จุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่ 4.17 ดอลลาร์ ในเดือนสิงหาคม บริษัทคาดการณ์รายได้ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2026 ลดลง 4%
“แม้จะมีความไม่แน่นอน แต่แบรนด์ของเรากำลังแข็งแรงขึ้น และเรากำลังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ด้วยความชัดเจนและมั่นใจ” แพลงค์กล่าวในข่าวเดือนสิงหาคม
บทความที่เกี่ยวข้อง