ไม่มี “ผู้รักษาประตูที่เล่นบอลด้วยเท้าราวกับกองกลางคนที่ 11” สำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในเกมบิ๊กแมตช์กับอาร์เซน่อลสุดสัปดาห์นี้อีกแล้ว เพราะเป๊ป กวาร์ดิโอลา เลือกทิ้งความนุ่มนวลของเอแดร์ซอน แล้วหันไปใช้ จานลุยจิ ดอนนารุมมา นายทวารร่างยักษ์ที่เล่นบอลกับเท้าได้แข็งทื่อกว่ามาก
ไม่มีแบ็กขวาที่วิ่งเข้ามาเป็นมิดฟิลด์เพื่อเชื่อมเกม แต่กลับเป็น อับดูโคดี้ คูซานอฟ เซ็นเตอร์แบ็กสายพลังที่ถูกขยับออกไปด้านข้างแทน
ไม่มี “ฟอลส์ไนน์” แต่เป็น “กองหน้าตัวเป้าแท้จริง” ที่ชื่อ เออร์ลิง ฮาลันด์
นี่คือซิตี้ในเวอร์ชันที่แตกต่างจากบาร์เซโลน่ายุคทองของเป๊ป หรือแม้กระทั่งทีมชุด 100 แต้มในฤดูกาล 2017-18 ที่เต็มไปด้วย ดาวิด ซิลบา, แบร์นาร์โด ซิลบา, อิลคาย กุนโดกัน, แฟร์นานดินโญ, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และเซร์คิโอ อเกวโร
ฝั่งอาร์เซน่อลเองก็ไม่ต่างกัน จากทีมที่เคยโดนวิจารณ์ว่า “ขาดกองหน้าตัวใหญ่” วันนี้พวกเขาได้ วิคตอร์ กยอเคเรส เข้ามาเป็นจุดศูนย์กลางเกมรุก ขณะที่ตำแหน่งเบอร์ 6 ก็เปลี่ยนจากความแข็งแกร่งของเดแคลน ไรซ์ เป็นความละเมียดละไมแบบสเปนของ มาร์ติน ซูบีเมนดี ที่มีบทบาทคล้ายกับโรดรี
ภาพเหล่านี้ถูกตีความได้ง่าย ๆ ว่า มิเกล อาร์เตต้า กำลังก๊อปทุกอย่างจากกวาร์ดิโอลา กองหน้าสไตล์ฮาลันด์ก็มีเวอร์ชันอาร์เซน่อล กองกลางเบอร์ 6 ก็หา “โรดรี 2” มาใช้งาน แต่แท้จริงแล้วเรื่องนี้ซับซ้อนกว่านั้นมาก
จากศิษย์สู่คู่แข่ง : อาร์เตต้าเป็นแค่เงาของเป๊ปหรือเปล่า?
ข้อกล่าวหาเรื่อง “ก๊อปปี้” เริ่มดังขึ้นในปี 2022 เมื่ออาร์เซน่อลคว้าตัว โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ และกาเบรียล เชซุส มาจากซิตี้ ตามมาด้วยระบบฟูลแบ็กสลับเล่นมิดฟิลด์ การใช้กองหลัง 4 คนที่เล่นเป็นเซ็นเตอร์ธรรมชาติทั้งหมด และการดึง ดาวิด รายา มาเปิดเกมจากแดนหลัง
ทั้งหมดนี้ถูกแปะป้ายว่า “ของเป๊ป” จนหลายคนบอกว่าอาร์เตต้าไม่มีไอเดียของตัวเองเลย แต่หากมองให้ลึก มันเป็นเรื่องปกติที่ลูกศิษย์ซึ่งทำงานกับอาจารย์นานกว่า 3 ปี จะได้รับอิทธิพลไปบ้าง ยิ่งเมื่อทั้งคู่เติบโตมากับรากเหง้า “ครัฟฟิสม์” ที่ลา มาเซีย
ที่สำคัญ อาร์เตต้าเองก็มีเอกลักษณ์ที่ต่างออกไป เขาคือโค้ชที่พาอาร์เซน่อลคว้าเอฟเอคัพด้วยแท็กติกแบบคาเตนัชโช่ในปีแรก, คือคนที่ปรับทีมให้เหนียวแน่นขึ้นหลังล้มเหลวในการลุ้นแชมป์ 2023 และคือผู้สร้างอาร์เซน่อลให้กลายเป็น
“ทีมที่เล่นเกมรับนอกการครองบอลดีที่สุดในยุโรป” ตลอด 2 ปีหลัง
เมื่อเป๊ปก็ลอกคนอื่น และอาร์เตต้าก็สร้างของตัวเอง
ความจริงคือทั้งสองต่างกำลัง “ปรับตัว” ต่อพรีเมียร์ลีกมากกว่าจะลอกกันเอง เป๊ปก็เคยหยิบแนวทาง build-up ของ โรแบร์โต เด แซร์บี มาใส่ในซิตี้ หรือให้ เป๊ป ไลน์เดอร์ส อดีตมือขวาของคล็อปป์ เข้ามาช่วยเพิ่มการเล่นโต้กลับเร็ว ขณะที่อาร์เตต้าเองก็ซึมซับความเข้มข้นทางกายภาพจากนิวคาสเซิลของเอ็ดดี้ ฮาว
ทั้งคู่ยังให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็ก ๆ ที่แต่ก่อนถูกมองข้าม เช่น โค้ชลูกนิ่ง (เป๊ปยอมรับเองว่าแนวคิดนี้อาร์เตต้าเป็นคนเสนอในตอนอยู่ซิตี้) และการสร้างทีมที่มี “ร่างกายแข็งแกร่ง” จนวันนี้เราจะได้เห็น 22 ผู้เล่นลงสนามที่มีไม่ถึง 5 คนที่สูงต่ำกว่า 180 ซม.
และในยุคที่การเพรสซิ่งสูงถูกแก้ทางยากขึ้น การมีกองหน้าร่างยักษ์เป็นจุดพักบอลกลับมาฮิตอีกครั้ง ทั้งคู่จึงเลือกใช้ “หอกเบอร์ใหญ่” อย่างฮาลันด์และเยอเคเรส รวมถึงการให้ค่ากับนักเตะที่เลี้ยงกินตัวได้ (เป๊ปซื้อเชอร์กี, อาร์เตต้าซื้อเอเซ่และมาเดวูเอเก้)
ศิลปะแห่งการปรับตัว
นี่คือสิ่งที่ทำให้การเปรียบเทียบว่า “อาร์เตต้าคือเงาของเป๊ป” ดูตื้นเกินไป ความจริงแล้ว ทั้งคู่กำลังเล่นเกมหมากรุกแบบใหม่ที่พรีเมียร์ลีกบังคับให้พวกเขาต้องเปลี่ยน
กวาร์ดิโอลาเคยพูดถึงอาร์เซน่อลว่า
“พวกเขาใช้เงินเพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้คือทีมที่แน่นที่สุดในยุโรป”
พร้อมเหน็บประชดเล็ก ๆ ว่า “ถ้าอาร์เตต้าคว้าแชมป์ได้ก็เพราะใช้เงิน ไม่ใช่เพราะเขาทำงานหนักหรอก”
แต่ถ้ามองลึกลงไป นี่คือคำชมแฝงว่าอาร์เซน่อลเดินทางมาถึงจุดที่ “ท้าทายซิตี้ได้จริง” ต่างหาก
บทสรุป : ไม่ใช่เรื่องการก๊อป แต่คือใครปรับตัวเก่งกว่า
เมื่อฟุตบอลกลายเป็นสนามทดลองแท็กติกที่เปลี่ยนทุกปี การจะยึดติดกับ “อัตลักษณ์” แบบตายตัวไม่ใช่ทางรอดอีกต่อไป เป๊ปคืออัจฉริยะที่ยอมเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ ส่วนอาร์เตต้าคือศิษย์ที่กลายมาเป็นคู่แข่ง และใช้เวลา 5 ปีสร้างอาร์เซน่อลจากทีมที่ไม่มีตั๋ว UCL ให้กลายเป็นผู้ท้าชิงแชมป์ลีกอย่างแท้จริง
เกมที่เอมิเรตส์สเตเดียมในวันอาทิตย์นี้ จะไม่ใช่แค่ “ซิตี้ vs อาร์เซน่อล” แต่คือบทพิสูจน์ว่าใครกันแน่ที่ “เรียนรู้และปรับตัวกับพรีเมียร์ลีก” ได้ดีกว่ากัน
บทความที่เกี่ยวข้อง