อาจจะไม่ได้ชื่อติดหูแฟนบอลมากเท่า ทาคุมิ มินามิโนะ, คาโอรุ มิโตมะ หรือว่า ไดจิ คามาดะ แต่เชื่อว่าชื่อของ อายาเสะ อูเอดะ กองหน้าทีมชาติญี่ปุ่นที่โขกประตูชัยพาทีมเฉือนชนะบราซิล 3-2 น่าจะถูกจดจำเข้าไปในหัวของแฟนบอลมากขึ้นแน่นอน
ปัจจุบัน อายาเสะ กำลังค้าแข้งอยู่ในยุโรปกับ เฟเยนูร์ด ในเนเธอร์แลนด์ โดยในฤดูกาลนี้เขาลงเล่นในลีกไป 8 เกม เจ้าตัวยิงได้ 8 ประตู ถือว่าเป็นสถิติที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับแข้งเอเชียที่เล่นอยู่ในลีกยุโรป
กว่าที่ อายาเสะ จะก้าวข้ามเอเชียไปเล่นในยุโรป และกลายมาเป็นศูนย์หน้าของทีมชาติญี่ปุ่นยุคใหม่ รู้กันหรือไม่ว่าส่วนหนึ่งนั้นมาจากที่เขามองเกมฟุตบอลต่างจากคนอื่น ๆ
เพราะเขามองว่าเขาเล่นฟุตบอลเพื่อยิงประตูเท่านั้น อย่างอื่นไม่สน แม้กระทั่งเกมรับ และยังใช้ความ "เนิร์ด" แบบญี่ปุ่น ๆ เข้ามาช่วยยกระดับฟอร์มการเล่นของตัวเองอีกต่างหาก สามารถตามอ่านเรื่องราวเบื้องหลังของ อายาเสะ อูเอดะ แบบเต็ม ๆ ได้ที่บทความนี้เลย
อยากชนะตั้งแต่เด็ก
ชีวิตวัยเด็กของ อายาเสะ อาจจะต่างไปจากเด็ก ๆ ในระแวกเดียวสักหน่อย เพราะว่าความชอบในเกมลูกหนังของเขาไม่ได้มาจากเริ่มหาดูฟุตบอลเอง หรือมีทีมที่ชอบ แต่เขามีคุณพ่อของเขา ที่เป็นนักเตะในหน่วยงานที่ทำอยู่เล่นฟุตบอลให้เห็นอยู่ประจำ
คุณพ่อของ อายาเสะ มักจะพาเขาไปซ้อมฟุตบอลด้วยเสมอ นั่นเลยทำให้ อายาเสะ เริ่มมีความคิดที่อยากจะเอาชนะพ่อ เก่งกว่าพ่อ และที่อยากจะทำให้ดีมากกว่าพ่อมากที่สุดเลยก็คือการยิงประตู
เขาบอกกับคุณพ่อของเขาว่ามุมมองที่เขามีต่อฟุตบอลมันก็คือ "เกมแข่งกันยิงประตู" ทำให้ในเวลาต่อมา คุณพ่อของเขาก็ได้พาเขาไปเรียนศาสตร์ฟุตบอลที่ โยชิดากาโอกะ ซอกเกอร์ สปอร์ต บอยส์ คลับ ก่อนที่ตอนมัธยม อายาเสะ จะได้มาเรียนที่ คาชิมะ กากุเอ็ง โรงเรียนมัธยมที่ส่งเสริมเรื่องฟุตบอล
เก่งได้เพราะเนิร์ด
ทีเด็ดของ อายาเสะ คือการที่เขาสามารถยิงประตูได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการยิงเท้าซ้าย-ขวา หรือว่าจะเป็นการโหม่ง เขาทำมันได้ดีทุกอย่าง เบสิคแน่นมาก ซึ่งที่มาของเรื่องนี้ก็เพราะว่าเขานั้นเป็นเนิร์ดฟุตบอลจ๋า
อายาเสะ เล่าว่าตอนที่เขานั่งดูฟุตบอลกับพ่อ เขาจะถามเสมอพ่อว่า ทำไมลูกนี้ถึงยิงแบบนี้ ทำไมจังหวะนั้นกองหน้าถึงทำแบบนั้น อายาเสะ ซึมซับวิธีการเล่นของกองหน้าระดับโลกมาโดยตลอด และนำวิธีเหล่านั้นมาต่อยอดกับตัวเองต่อ
"ผมชอบ ซามูเอล เอโต้ มาก ส่วน เรอัล มาดริด ผมก็ชอบ โรนัลโด้ ส่วน เอซี มิลาน ผมชอบ เครสโป รวมไปถึงกองหน้าคนอื่น ๆ อย่าง ราอูล กอนซาเลซ, ฟิลิปโป้ อินซากี้ แล้วก็กองหลังคนอื่น ๆ ที่ชอบขึ้นมาทำประตูครับ" อายาเสะ กล่าว
การที่เขาได้ดูกองหน้าหลาย ๆ คนแล้วเอาจุดเด่นมาวิเคราะห์รวม ๆ กันอยู่เสมอมันทำให้ อายาเสะ พัฒนาเรื่องการจบสกอร์ได้ดีกว่าเพื่อน ๆ ในรุ่นเดียวกัน ที่ดูฟุตบอลผ่าน ๆ แล้วไม่ได้เอามาปรับใช้กับตัวเอง

โชว์ฟอร์มปีสุดท้าย
มาซาโตะ ซูซูกิ โค้ชของทีมฟุตบอลคาชิมะ กากุเอ็ง ได้เล่าว่าช่วงปีแรก ๆ ที่ อายาเสะ เล่นฟุตบอล เขาเป็นนักเตะที่ทักษะดี เบสิกเยี่ยม แต่รูปร่างและเรื่องความแข็งแกร่งยังเป็นรองเพื่อนคนอื่น ๆ อยู่ เพราะว่าร่างกายของเขานั้นโตช้า
ทว่า อายาเสะ ก็ไม่ได้ยอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้ เขายังคงตั้งใจซ้อมต่อไปก่อนที่ในปีสุดท้ายที่เขาเรียนโรงเรียนมัธยม ร่างกายของเขาจะโตได้เต็มที่และโชว์ฟอร์มเก่งให้ทุกคนเห็น ด้วยการที่ปีนั้นเขาลงเล่นทุกรายการรวมกัน 18 นัด เขาซัดไปทั้งหมด 33 ประตู
ก่อนที่ในเวลาต่อมา เขาจะได้ไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยโฮเซ และมีส่วนช่วยให้ทีมคว้าชัยชนะในการแข่งขันฟุตบอลมหาวิทยาลัยออล-เจแปน ยูนิเวอร์ซิตี้ ซอคเกอร์ แชมเปียนชิพ ในปี 2018
ก่อนที่ในปี 2019 เขาจะออกจากทีมมหาลัยมาอยู่กับ คาชิมา แอนท์เลอร์ส ทีมดังในศึกเจลีก 1 และกลายเป็นส่วนสำคัญของทีมในเวลาต่อมา ด้วยการยิงไป 47 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทั้งหมด 103 นัดทุกรายการ

มีวันนี้ เพราะไม่เล่นเกมรับ?
ปัจจุบัน อายาเสะ ได้ย้ายมาอยู่กับ เฟเยนูร์ด ทีมในเนเธอร์แลนด์และเป็นขุมกำลังสำคัญของทีมชาติญี่ปุ่นไปแล้ว แต่เขาจะมาถึงจุดนี้ไม่ได้เลยหากว่าเขาลืมแนวคิดที่เขาคิดเอาไว้ตั้งแต่เด็ก ๆ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น นั่นก็คือเขามองว่าฟุตบอลมันคือ "เกมแข่งกันยิงประตู"
ที่จะพูดก็คือ อายาเสะ ที่เล่นเป็นกองหน้า เขาก็เล่นเป็นกองหน้าจริง ๆ เขาแทบจะไม่ลงมาเล่นเกมรับตามแบบฉบับนักเตะญี่ปุ่นทั่วไปเลย เพราะเขามองว่าเขาไม่เก่ง เขาเก่งการทำประตู สิ่งที่เขาจะทำเพื่อช่วยทีมก็คือการหาวิธีไปทำประตูคู่แข่งเท่านั้น
เรื่องนี้ มาซาโตะ ซูซูกิ โค้ชสมัยมัธยมได้เป็นคนกล่าวเอาไว้ แถมยังบอกอีกว่า อายาเสะ ถือว่าโชคดีมากที่ได้มาเรียนและเป็นหนึ่งในลูกทีมของเขาตอนมัธยม เพราะคนที่ขี้เกียจเล่นเกมรับแบบเขา หากไปเจอโค้ชคนอื่น อาจจะโดนปัดตกไปแล้ว แต่ ซูซูกิ กลับเลือกที่จะเชื่อใจ อายาเสะ ก่อนที่สุดท้ายเขาก็ได้รู้แล้วว่าเขาเชื่อและมองคนไม่ผิด
"อูเอดะมีนิสัยขี้เกียจนะ บางทีเขาก็เอื่อย ๆ แต่ผมเชื่อว่าเขาจะตอบแทนผมด้วยการยิงประตู ถ้าอดทนรอผลลัพธ์จากเขา มันคุ้มค่าแน่นอน เพื่อนร่วมทีมบางคนก็ไม่พอใจที่เขาไม่ช่วยเกมรับ แต่ผมก็บอกว่า ‘หน้าที่ของเขาคือการยิงประตู’ ถึงพูดตรง ๆ แบบนั้นไม่ได้ แต่ผมขอให้ทีมช่วยสนับสนุนเขาแทน" มาซาโตะ ซูซูกิ กล่าว
"พูดตามตรง ถ้าเขาไปอยู่ทีมอื่น อาจจะไม่เดินมาถึงจุดนี้ก็ได้ เพราะเขาไม่ค่อยช่วยเกมรับเลย ขี้เกียจบ้าง แต่ก็ฉลาดพอที่จะเอาตัวรอดได้อ่ะนะ (หัวเราะ) แต่ทั้งหมดนั่นคือ ‘บุคลิกเฉพาะตัว’ ผมพยายามส่งเสริมด้านดีและเข้มงวดกับจุดอ่อนให้กับเด็กในฐานะผู้ฝึกสอนอยู่เสมอ"
