อาร์เนอ ชล็อต เข้ามาทำหน้าที่ต่อจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้ยอดเยี่ยมด้วยการพา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างยิ่งใหญ่เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
แต่หนึ่งเรื่องที่กุนซือชาวดัตช์ที่ก้าวผ่านให้ได้ก็คือพา หงส์แดง ทำผลงานในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ดีกว่าฤดูกาลก่อน ที่โดน เปแอสเช เขี่ยตกรอบตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
ว่าแต่ ชล็อต ต้องปรับเรื่องไหนและเปลี่ยนอะไรบ้างเพื่อพาทีมสุดแกร่งจากพรีเมียร์ลีกคว้าชัยในศึก UCL ฤดูกาลนี้? ตามอ่านต่อได้ที่นี่
ระบบลีกสุ่มดวง
อย่างที่รู้กันว่า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันมาเป็นแบบลีกเฟส ทำให้ระบบต่าง ๆ รวมถึงการเข้ารอบน็อคเอาท์ถูกเปลี่ยนไปหมด
ทางหงส์แดง ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์แบบอัตโนมัติเนื่องจากจบอันดับ 1 ของตารางรอบลีก แต่สุดท้าย พวกเขาก็ไปตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายจากทีมที่ผ่านเข้ารอบมาด้วยการเพลย์ออฟอย่าง เปแอสเช
ซึ่ง อาร์เนอ ชล็อต รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลกนิดหน่อย เพราะว่าทีมที่เป็นถึงแชมป์หัวตารางลีก ก็น่าจะได้เจออะไรที่มันเบาหรือง่ายกว่าทีมอื่น ๆ หน่อย แต่ดันเจอกับทีมที่จะกลายมาเป็นแชมป์อย่าง เปแอสเช
ชล็อต รู้สึกว่าเหมือนกับเป็นการสุ่มดวง ดังนั้นเขาจึงได้เรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องทำให้มันดีเพอร์เฟ็คไปซะทุกนัดในลีกเฟส ขอแค่ผ่านเข้ารอบแบบอัตโนมัติได้ก็พอ เพราะยังไงก็ต้องไปสุ่มเจอทีมต่าง ๆ ในรอบน็อคเอาท์อยู่แล้ว
ดังนั้นก็คงไม่แปลกที่ว่าหากบางนัด ชล็อต จัดตัวผู้เล่นสำรองลงหรือจัดตัวแปลก ๆ นั่นก็เพราะว่าเขาประเมินสถานการณ์แล้วว่าเกมนี้ไม่จำเป็นต้องเน้น และต้องการพักตัวหลัก เพื่อไปเล่นในรอบน็อคเอาท์แบบเต็มสูบดีกว่า
ยืดหยุ่นให้ได้มากที่สุด

UEFA
อย่างที่ได้กล่าวไป ชล็อต เรียนรู้แล้วว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีผลการแข่งขันที่เพอร์เฟ็คทุกเกม พวกเขาแค่ต้องทำให้เข้ารอบเท่านั้น ไม่ต้องสนอันดับ
ดังนั้น ชล็อต จะได้โอกาสให้โอกาสผู้เล่นตัวสำรองหรือว่าผู้เล่นดาวรุ่งลงมาสัมผัสสนาม เพื่อให้ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และเป็นการยืดหยุ่นทีมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไปเน้นแบบหนัก ๆ จริง ๆ ตั้งแต่รอบน็อคเอาท์ขึ้นไป
ทีมต้องใหญ่ขึ้น
ดูจากการเสริมทัพของ ลิเวอร์พูล ในซัมเมอร์ที่ผ่านมาก็น่าจะรู้แล้วว่า ชล็อต ได้แก้ไขเรื่องขนาดของทีมเรียบร้อยแล้ว ที่ในฤดูกาลก่อนต้องโหมใช้ หลุยส์ ดิอาซ, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ รวมถึงผู้เล่นตัวหลักคนอื่น ๆ อยู่ประจำ เพราะว่าตัวสำรองไม่สามารถมีใครทดแทนกันได้
ทำให้ในซัมเมอร์นี้ ผู้เล่นใหม่อย่าง อเล็กซานเดอร์ อิซัค, มิลอส เคอร์เคซ, อูโก้ เอกิติเก้, เจเรมี ฟริมปง, ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ น่าจะเข้ามาช่วยเติมเต็มในเรื่องนี้ได้เยอะ
ทำให้ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ลิเวอร์พูล ในซีซั่นนี้ มีขนาดทีมที่ใหญ่ขึ้น และสามารถยืดหยุ่นใช้นักเตะได้มากหน้าหลายตามากขึ้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติของทีมที่จะเป็นแชมป์จริง ๆ นั่นก็คือทีมที่สามารถใช้งานนักเตะได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือว่าตัวสำรอง
ซึ่งก็ต้องมาดูกันว่า อาร์เนอ ชล็อต จะสามารถพา ลิเวอร์พูล กลับไปชูถ้วยแชมป์ยุโรปได้อีกครั้งหรือไม่ในซีซั่นนี้