ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 2000 แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ได้สร้างความฮือฮาด้วยการคว้ากองหน้าระดับบิ๊กเนมจาก บาเยิร์น มิวนิค มาร่วมทีม
โรเก้ ซานตา ครูซ คือคนนั้น ก่อนที่เขาจะสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วพรีเมียร์ลีก จนได้ย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงตั้งไข่ หลังได้กลุ่มทุนจากอาบูดาบีเข้ามาเทคโอเวอร์
อย่างไรก็ดี นั่นกลับเป็นช่วงเวลาเฉิดฉายในยุโรปครั้งสุดท้ายของดาวยิงปารากวัย เกิดอะไรขึ้นกับ ซานตา ครูซ หลังจากนั้น?
ติดตามไปพร้อมกัน
เด็กมหัศจรรย์จากละติน
โรเก้ ซานตา ครูซ ถือเป็นดาวรุ่งได้รับการจับตามองมาตั้งแต่เล่นอยู่กับ โอลิมเปีย ในบ้านเกิด เมื่อเขาถูกเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ของสโมสร และได้ประเดิมสนามในปี 1997 ด้วยวัยเพียง 15 ปี
หลังจากนั้นเขาก็ได้รับโอกาสมากขึ้น ก่อนที่ในปี 1999 ซานตา ครูซ จะสร้างปรากฎการณ์ด้วยการยิงไปถึง 12 ประตูในทุกรายการ จนถูกเรียกติดทีมชาติชุดใหญ่ และได้เปิดตัวในทีมชาติทั้งที่เพิ่งอายุเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น
ผลงานดังกล่าว ทำให้อเมริกาใต้ดูจะเล็กไปสำหรับเขา และเป็น บาเยิร์น มิวนิค ที่เร็วกว่าใคร หลังยอมจ่ายเงินสูงถึง 5 ล้านยูโร ซึ่งเป็นมูลค่าแพงสุดสำหรับนักเตะในลีกปารากวัย พาเขามาค้าแข้งในยุโรป
ด้วยส่วนสูง 193 เซนติเมตร เล่นได้ทั้งสองเท้า และความเร็วที่น่าเซอร์ไพรส์สำหรับนักเตะที่สูงขนาดนี้ ทำให้ ซานตา ครูซ ดูจะเข้ากับฟุตบอลยุโรปได้ดี แต่ปัญหาเดียว ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่สุดสำหรับกองหน้าก็คือจำนวนประตู

เขาไม่ถึงกับเป็นแข้งปืนฝืด แต่ก็ไม่ถึงกับซัดประตูได้อย่างถล่มทลาย และไม่เคยยิงได้ถึง 2 หลักแม้แต่ฤดูกาลเดียว โดยผลงานที่ดีที่สุดคือปีแรกกับ บาเยิร์น ที่ซัดไป 9 ประตูจาก 48 นัดที่ลงสนาม
บวกกับอาการบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าฉีกขาด จนทำให้เขาต้องพักยาวในฤดูกาล 2005/06 จนตกมาเป็นตัวเลือกลำดับที่ 3 รองมาจาก มิโลสลาฟ โคลเซ และ ลูกา โทนี ทำให้ในปี 2007 เขาถูกขายให้แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส อย่างเซอร์ไพรส์ ด้วยค่าตัวเพียง 3.5 ล้านปอนด์
ก่อนที่มันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นฤดูกาลมหัศจรรย์ของ ซานตา ครูซ
ยิงระเบิดไม่ต้องเปิดตำรา
แม้ว่าในตอนนั้น แบล็คเบิร์น จะไม่ใช่ทีมลุ้นแชมป์เมื่อในยุค 1990s แต่ในฤดูกาล 2006/07 พวกเขาก็ทำผลงานได้ไม่เลว หลังจบในอันดับ 10 ของตาราง ส่วนฟุตบอลถ้วยก็เข้าถึงรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพ และ 32 ทีมสุดท้ายในยูฟ่าคัพ
แต่การได้ตัว ซานตา ครูซ ก็เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายอยู่ดี เพราะนี่คืออดีตวอนเดอร์คิดของวงการฟุตบอลปารากวัย แถมยังเคยคว้ามาถึง 12 แชมป์ รวมไปถึงแชมป์บุนเดสลีกา 5 สมัยกับ บาเยิร์น
และเขาก็นำประสบการณ์การเป็นผู้ชนะมาใช้กับ แบล็คเบิร์น ได้ทันที หลังใช้เวลาเพียง 3 นาที จากการเปลี่ยนตัวลงมา ซัดประตูตีเสมอให้ทีมในเกมพบกับ มิดเดิลสโบรห์ ก่อนจะเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 1-2
ผลงานดังกล่าวทำให้ ซานตา ครูซ ยึดตำแหน่งตัวจริงในแดนหน้าของทีมได้สำเร็จ และยิงไปถึง 4 ประตูจาก 10 นัดแรก พากุหลาบไฟทะยานขึ้นมารั้งอันดับ 6 ของตาราง

จุดเด่นของหัวหอกปารากวัยไม่ได้มีแค่การพังตาข่ายเท่านั้น เมื่อเขาสามารถลงต่ำมาเชื่อมเกมรวมถึงจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมยิงประตู จนทำไปถึง 5 แอสซิสต์ ในช่วงเวลาเดียวกัน
แม้จากนั้นเขาจะมีช่วงปืนฝืด จนยิงไม่ได้ 6 นัดติด แต่หลังจากปลดล็อคด้วยการระเบิดแฮตทริคใส่ วีแกน แอธเลติก เขาก็ยิงไปอีก 12 ประตูในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง
เบ็ดเสร็จฤดูกาลนั้น ซานตา ครูซ ยิงไปถึง 19 ประตูจาก 37 เกมในพรีเมียร์ลีก รั้งอันดับ 4 ในตารางดาวซัลโว พร้อมพา แบล็คเบิร์น จบในอันดับ 7 ของตาราง
อย่างไรก็ดี นั่นก็คือฤดูกาลที่ดีที่สุดในยุโรปของเขา
โรยราแต่ไม่มอดดับ
หลังฤดูกาลมหัศจรรย์กับแบล็คเบิร์น ดูเหมือนว่า ซานตา ครูซ จะกลับมาสู่จุดเดิมอีกครั้ง เมื่อเขาต้องเริ่มฤดูกาลที่ 2 ในถิ่นอีวู๊ด พาร์ค ด้วยอาการบาดเจ็บ ทั้งที่อุตสาห์ประเดิมประตูได้ตั้งแต่นัดแรกในพรีเมียร์ลีก
เขากลายเป็นนักเตะที่เจ็บไปทุกส่วนของร่างกาย เริ่มจากเอ็นร้อยหวายอักเสบในเดือนพฤศจิกายน ตามมาด้วยกล้ามเนื้อฉีกในเดือนต่อมา แต่ที่หนักสุดคืออาการบาดเจ็บที่เข่า จนทำให้เขาต้องปิดฤดูกาลไปตั้งแต่เดือนมีนาคม

ทว่า แม้จะมีผลงานที่ไม่สู้ดีนัก หลังยิงไปเพียง 4 ประตูในลีกในฤดูกาล 2008/09 แต่ถึงอย่างนั้นในซีซั่นต่อมา เขาก็ยังถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในยุคแรกหลังกลุ่มทุนจากอาบูดาบีเทคโอเวอร์ กระชากตัวไปร่วมทัพด้วยค่าตัวสูงถึง 17.5 ล้านปอนด์
แต่นั่นถือเป็นการลงทุนที่ผิดพลาดของแมนฯ ซิตี้ เมื่อดาวยิงชาวปารากวัย ไม่เคยทำผลงานได้เหมือนตอนอยู่ แบล็คเบิร์น แถมยังมีอาการบาดเจ็บเป็นอุปสรรค จนยิงไปแค่ 3 ประตูจาก 19 เกม
จากนั้นเขาก็หมดความสำคัญในทีมอย่างรวดเร็ว และถูกปล่อยให้หลายทีมยืมตัวไปใช้งาน รวมถึง แบล็คเบิร์น อดีตทีมเก่า แต่ก็ไม่มีอะไรน่าจดจำ ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ มาลากา ในปี 2012
ซานตา ครูซ เล่นอยู่ในยุโรปต่อเพียงแค่ 3 ฤดูกาล รวมถึงแวบไปเล่นในลีกเม็กซิโกกับ ครูซ อาซูล อยู่ระยะสั้นๆ จนกระทั่งในปี 2016 เขาก็กลับมาเล่นกับ โอลิมเปีย ทีมเก่าอีกครั้งในวัย 35 ปี
ตอนนั้นหลายคนคิดว่าจะเป็นช่วงท้ายในชีวิตการค้าแข้งของเขาแล้ว ทว่ามันกลับไม่ใช่ เพราะนอกจาก ซานตา ครูซ จะซัดประตูได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการยิง 26 ประตูจาก 34 เกม ในปี 2019 แล้ว เขายังคงโลดแล่นอยู่ในลีกสูงสุดปารากวัยมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะอยู่ในวัย 44 ปีแล้ว

แถมล่าสุด เมื่อปี 2024 เขาเพิ่งจะทำลายสถิติโลก หลังสามารถยิงได้อย่างน้อย 1 ประตูในเกมระดับอาชีพ ตั้งแต่ปี 1998 ยาวนานเป็นฤดูกาล 25 ติดต่อกัน
ปัจจุบัน เขายังเป็นคงหนึ่งในสมาชิกของ คลับ ลิเบอร์ตัด ที่ย้ายมาอยู่ในปี 2022 และลงเล่นไปแล้ว 30 เกมในซีซั่นนี้ รวมไปถึงเกมระดับทวีปอย่าง โคปา ลิเบอตาดอเรส ที่พาทีมเข้าถึงรอบ 16 ทีม
ทำให้แม้ ซานตา ครูซ จะมีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมระยะสั้นๆ ในยุโรป แต่ที่ ปารากวัย บ้านเกิด เขายังคงมีสถานะไม่ต่างจาก “พระเจ้า” ด้วยประสบการณ์และความสำเร็จตลอดหลายสิบปีจากอีกฟากของมหาสมุทรแอตแลนติก
และทำให้ความเป็นตำนานของเขา จะยังคงสืบต่อไป แม้ในวันที่เขาแขวนสตั๊ดแล้วก็ตาม
บทความที่เกี่ยวข้อง
ไขข้อสงสัย: เหตุใด ซน ฮึง-มิน ขอให้ LAFC ปล่อยออกจากทีมช่วงหน้าหนาวทั้งที่เพิ่งย้ายมา?
เสียประตูตลอด! รอย คีน ชี้ ฟาน ไดค์ ควรพิจารณาตัวเองว่ายังดีพอช่วยลิเวอร์พูลได้อยู่ไหม
ยังไม่ทันถึงท่อนฮุก! แฟนลิเวอร์พูลช็อคทั้งร้าน ร้องเพลง YNWA อยู่ดี ๆ โดนแมนยูยิงเร็ว