กรณี อิซัค – ฮอยลุนด์ : เมื่อความภักดีหมดค่า สโมสรกับนักเตะต่างก็ไล่ล่าผลประโยชน์ตัวเอง

Nopphasin Kulabburi

กรณี อิซัค – ฮอยลุนด์ : เมื่อความภักดีหมดค่า สโมสรกับนักเตะต่างก็ไล่ล่าผลประโยชน์ตัวเอง image

“One greedy bastard”  เสียงตะโกนจากกองเชียร์นิวคาสเซิลที่ดังลั่นสนามวิลล่า พาร์ก มีเป้าหมายชัดเจนคือ อเล็กซานเดอร์ อิซัค กองหน้าคนสำคัญที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นขวัญใจ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาแฟนบอล

อีกคนอยากไปส่วนอีกคนอยากอยู่ต่อ

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการฟุตบอล  เมื่อนักเตะปฏิเสธที่จะเดินทางร่วมทัวร์ปรีซีซัน เลือกกลับไปซ้อมกับต้นสังกัดเก่า และสุดท้ายก็ส่งสัญญาณชัดว่า “ไม่อยากเล่นให้สโมสรนี้อีกแล้ว” ความภักดีที่เคยสั่งสมไว้ก็แทบไม่เหลือค่า

แต่ในอีกด้านหนึ่ง อิซัคก็มีเหตุผลที่พอจะอ้างสิทธิ์ได้ ว่านักเตะย่อมมีสิทธิ์ผลักดันตัวเองไปสู่เส้นทางใหม่ที่ดีกว่า  และหากจะหาตัวอย่างมาเทียบ ก็ไม่ต้องมองไกลไปไหน กรณีของ ราสมุส ฮอยลุนด์ กำลังสะท้อนภาพตรงกันข้าม

ฮอยลุนด์ : อยากอยู่ต่อ แต่สโมสรไม่อยากให้ไปต่อ

ขณะที่อิซัคอยากย้าย แต่สโมสรไม่อยากเสียไป … ฮอยลุนด์กลับอยู่ในสถานการณ์กลับด้าน
กองหน้าชาวเดนมาร์กวัย 21 ปี ยืนยันชัดว่าอยากพิสูจน์ตัวเองกับแมนฯ ยูไนเต็ด เขายังลงเล่นในทัวร์อเมริกา ยิงประตูได้ และได้รับคำชมจากรูเบน อามอริม กุนซือคนใหม่

แต่เบื้องหลังนั้น ยูไนเต็ดกลับเปิดไฟเขียวรับฟังข้อเสนอซื้อขายเขามาตลอดซัมเมอร์ เพราะสโมสรเพิ่งลงทุน 76.5 ล้านยูโรคว้า เบนจามิน เชสโก้ มายืนตรงตำแหน่งเดียวกัน

และสิ่งที่ตอกย้ำว่า “ความตั้งใจของนักเตะอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย” คือเกมเปิดฤดูกาลกับอาร์เซนอล ฮอยลุนด์ถูกตัดชื่อออกไป แม้ว่าเชสโก้ยังฟิตไม่พอลงเป็นตัวจริงก็ตาม

สโมสร > นักเตะ : กฎเหล็กของอุตสาหกรรมลูกหนัง

นี่คือความจริงที่โหดร้ายของฟุตบอลยุคปัจจุบัน :

  • สโมสรมีอำนาจมากกว่านักเตะ แม้ผู้เล่นบางคนไม่อยากย้าย แต่หากถูกจัดให้อยู่ใน “Bomb Squad” หรือกลุ่มนักเตะนอกแผน ก็แทบไม่มีพื้นที่ให้อยู่พร้อมปล่อยรอเวลาเท่านั้น

  • นักเตะเอง หากอยากย้าย ก็มักใช้วิธีแรง ๆ เช่น การกดดันหรือปฏิเสธลงเล่น เพื่อบีบให้ต้นสังกัดยอมปล่อยออกไป

ในกรณีของยูไนเต็ด ฮอยลุนด์อาจไม่อยากไป แต่เมื่อถูกกันออกจากทีม เขาแทบไม่มีทางเลือก นอกจากรอโอกาสใหม่ในตลาด หรือยอมเสี่ยงนั่งข้างสนามทั้งฤดูกาล ซึ่งอาจหยุดยั้งพัฒนาการช่วงสำคัญของอาชีพ

ในขณะเดียวกัน นิวคาสเซิลเองก็เผชิญบทเรียนจากอิซัค  แม้จะอยากรั้งกองหน้าตัวหลักไว้ แต่การเก็บนักเตะที่ไม่มีใจอาจเป็น “ระเบิดเวลา” ทั้งในห้องแต่งตัวและในเชิงมูลค่า เพราะค่าตัวที่เคยเป็นสถิติอังกฤษอาจร่วงลงเรื่อย ๆ หากนักเตะไม่เล่นเต็มที่

เกมผลประโยชน์ที่ไม่มีใครรอด

เมื่อมองออกไปกว้างกว่าเดิม ตลาดซื้อขายนักเตะไม่ต่างจาก “กฎแห่งป่า”  สโมสรใหญ่กินสโมสรเล็ก นักเตะผลักดันตัวเองไปข้างหน้า ขณะที่แฟนบอลกลายเป็นผู้รับผลลัพธ์โดยตรง

  • นิวคาสเซิล กำลังถูกกดดันในเคส อิซัค แต่พวกเขาเองก็เคยใช้กลยุทธ์คล้ายกันกับกรณี โยอาน วิสซา ของเบรนท์ฟอร์ด ที่ไม่ยอมลงเล่นเพราะกำลังถูกทาบทาม

  • ลิเวอร์พูล ก็ไม่ใช่ผู้ชนะเสมอไป เพราะเคยเจรจาล้มเหลวในเคส เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

  • และสุดท้าย เรอัล มาดริด ภายใต้ฟลอเรนติโน่ เปเรซ คือไม่กี่ทีมบนโลกที่สามารถยืนบนยอดพีระมิด กำหนดทิศทางตลาดได้จริง

ไม่มีความภักดี มีแต่การคำนวณคุ้มหรือไม่

ไม่ว่าจะเป็นกรณีของอิซัค ฮอยลุนด์ หรือวิสซา สิ่งที่เราเห็นเหมือนกันคือ  ทุกฝ่ายต่างต้องปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองให้มากที่สุด

  • สโมสรไม่อยากเสียฟรี หรือเสียเปรียบในเชิงมูลค่า

  • นักเตะไม่อยากถูกจับนั่งสำรองยาวในสถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรม

  • และแฟนบอลก็ต้องยอมรับความจริงที่เจ็บปวด ว่าความรักความผูกพันไม่ใช่ตัวแปรหลักในสมการธุรกิจลูกหนัง

สุดท้าย ไม่ว่านักเตะอยากอยู่หรืออยากไป สโมสรอยากขายหรืออยากรั้งไว้  ทุกทางเลือกมี “ต้นทุน” และ “ผลลัพธ์” ของมันเอง

และในตลาดซื้อขายที่ดุเดือดแบบนี้ ไม่มีทางเลือกที่จบลงด้วยความสวยงามสักเท่าไหร่ เพราะในตอนนี้ มีแต่ทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดเท่านั้นทั้งต่อนักเตะและต่อสโมสร

บทความที่เกี่ยวข้อง

Nopphasin Kulabburi

นักเขียน Sporting News Thailand ที่ติดตามทั้งกีฬาฟุตบอล, บาสเก็ตบอล รวมถึงแวดวงอีสปอร์ต